บาลีวันละคำ

ปัตติทานคาถา [1] (บาลีวันละคำ 2,888)

ปัตติทานคาถา [1]

ยิ่งให้ยิ่งได้

อ่านว่า ปัด-ติ-ทา-นะ-คา-ถา

ประกอบด้วยคำว่า ปัตติ + ทาน + คาถา

(๑) “ปัตติ

เขียนแบบบาลีเป็น “ปตฺติ” อ่านว่า ปัด-ติ รากศัพท์มาจาก ปทฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ติ ปัจจัย, แปลง ทฺ ที่ (ป)-ทฺ เป็น ตฺ (ปทฺ > ปตฺ)

: ปทฺ + ติ = ปทฺติ > ปตฺติ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ไปถึง

ปตฺติ” (อิตถีลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

(1) การได้รับ, การได้มา, การได้, การเข้าร่วม, การเข้าถึง (obtaining, acquiring, getting, entering into, state of)

(2) การบรรลุ, การถึง (attainment, acquisition)

(3) การได้, สิ่งที่ได้, กำไร, ผลประโยชน์ (gaining, gain, profit, advantage)

(4) ส่วนบุญ, กำไร, การมอบ, การแนะนำ, การอุทิศส่วนบุญ, ทักษิณา (merit, profit, accrediting, advising, transference of merit, a gift of merit)

(5) สิ่งที่ได้รับ, โอกาส, สิ่งที่เกิดขึ้น, สถานะ, สถานที่, (that which obtains, occasion, happening, state, place)

ในที่นี้ใช้ในความหมายตามข้อ (4)

(๒) “ทาน

บาลีอ่านว่า ทา-นะ รากศัพท์มาจาก ทา (ธาตุ = ให้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)

: ทา + ยุ > อน = ทาน แปลตามศัพท์ว่า “การให้” “สิ่งของสำหรับให้

ทาน” (นปุงสกลิงค์) มีความหมายว่า –

(1) การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น

(2) สิ่งที่ให้, ทรัพย์สินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ทาน” ว่า giving, dealing out, gift; almsgiving, liberality, munificence (การให้, การแจกให้, ของขวัญ; การให้ทาน, การมีใจคอกว้างขวาง)

ทาน” ใช้ในรูปเดียวกันทั้งบาลีและสันสกฤต

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –

(สะกดตามต้นฉบับ)

ทาน : (คำนาม) ‘ทาน’, การให้, การบริจาค; มันเหลวซึ่งเยิ้มออกจากขมับช้างตกน้ำมัน; การอุปถัมภ์, การบำรุง; วิศุทธิ, นิรมลีกรณ์; การตัด, การแบ่ง; ทักษิณา, ของถวาย, ของให้เปนพิเศษ; การตี, การเฆาะ; อรัณยมธุ, น้ำผึ้งป่า; giving, gift, donation; fluid that flows from the temples of an elephant in rut; nourishing, cherishing; a present, a special gift; striking, beating; wild honey.”

(๓) “คาถา

รากศัพท์มาจาก คา (ธาตุ = ส่งเสียง) + ปัจจัย + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์

: คา + = คาถ + อา = คาถา แปลตามศัพท์ว่า “วาจาอันเขาขับร้อง” หมายถึง คำกลอน, โศลก, คำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง (a verse, stanza, line of poetry)

ในภาษาบาลี คำว่า “คาถา” หมายถึงคําประพันธ์ประเภท “ร้อยกรอง” อย่างที่ภาษาไทยเรียกว่า กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์

การประสมคำ :

ปตฺติ + ทาน = ปตฺติทาน (ปัด-ติ-ทา-นะ) แปลว่า “การให้ส่วนบุญ” หมายถึง การอุทิศส่วนบุญให้, การให้ส่วนบุญ, การแบ่งส่วนบุญให้ (an assigned or accredited gift, giving of merit, transference of merit)

ปตฺติทาน + คาถา = ปตฺติทานคาถา (ปัด-ติ-ทา-นะ-คา-ถา) แปลว่า “คำร้อยกรองแบ่งส่วนบุญ

ปตฺติทานคาถา” เขียนแบบไทยเป็น “ปัตติทานคาถา

อภินันทนาการ :

คาถาแบ่งส่วนบุญที่เรียกชื่อว่า “ปัตติทานคาถา” นิยมสวดเมื่อบำเพ็ญบุญอย่างใดอย่างหนึ่งสำเร็จแล้ว เช่นทำวัตรสวดมนต์จบแล้วเป็นต้น ในกรณีสวดร่วมกันหลายคน ถ้าผู้นำสวดขึ้นคำนัดว่า “หันทะ มะยัง ปัตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส” ซึ่งแปลว่า “เชิญเถิด เราทั้งหลายจงสวดบทปัตติทานคาถาเถิด” ก็เป็นอันรู้กันว่าต้องขึ้นบท “ปัตติทานคาถา” ซึ่งมักเรียกกันสั้นๆ อีกอย่างหนึ่งว่า “บท ยา เทวะตา” เนื่องจากมีคำขึ้นต้นว่า “ยา เทวะตา”

บท “ปัตติทานคาถา” มีข้อความเป็นคำบาลีและคำแปล ดังจะขอนำมาเป็นอภินันทนาการ ดังต่อไปนี้

…………..

ปัตติทานคาถา

ยา  เทวะตา  สันติ  วิหาระวาสินี

ถูเป  ฆะเร  โพธิฆะเร  ตะหิง  ตะหิง

ตา  ธัมมะทาเนนะ  ภะวันตุ  ปูชิตา

โสตถิง  กะโรนเตธะ  วิหาระมัณฑะเล.

เทวดาเหล่าใดมีปกติอยู่ในวิหาร

สถิตอยู่ที่เรือนพระสถูปที่เรือนพระโพธิในที่นั้นๆ

เทวดาเหล่านั้นเป็นผู้อันเราทั้งหลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน

จงกระทำความสวัสดีในวิหารมณฑลนี้

เถรา  จะ  มัชฌา  นะวะกา  จะ  ภิกขะโว

สารามิกา  ทานะปะตี  อุปาสะกา

คามา  จะ เทสา  นิคะมา  จะ  อิสสะรา

สัปปาณะภูตา  สุขิตา  ภะวันตุ  เต.

พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ –

ที่เป็นปานกลาง ที่ยังใหม่ก็ดี

อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้เป็นทานบดี –

พร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี

ชนทั้งหลายที่เป็นชาวบ้าน ที่เป็นชาวประเทศ –

ที่เป็นชาวนิคม ที่เป็นอิสระก็ดี

สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเหล่านั้นจงเป็นผู้ถึงซึ่งความสุข

ชะลาพุชา  เยปิ  จะ  อัณฑะสัมภะวา

สังเสทะชาตา  อะถะโวประปาติกา

นิยยานิกัง  ธัมมะวะรัง  ปะฏิจจะ  เต

สัพเพปิ  ทุกขัสสะ  กะโรนตุ  สังขะยัง.

แม้สัตว์เหล่าใดที่เป็นชลาพุชะกำเนิด –

ที่เป็นอัณฑชะกำเนิด

ที่เป็นสังเสทชะกำเนิด –

ที่เป็นอุปปาติกะกำเนิดก็ดี

สัตว์เหล่านั้นได้อาศัยธรรมอันประเสริฐ –

เป็นนิยานิกธรรมแล้ว

แม้สัตว์ทั้งหมดจงกระทำความสิ้นไปแห่งทุกข์

ฐาตุ  จิรัง  สะตัง  ธัมโม

ธัมมัทธะรา  จะ  ปุคคะลา

สังโฆ  โหตุ  สะมัคโค วะ

อัตถายะ  จะ หิตายะ  จะ.

ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายจงดำรงอยู่นาน

แลบุคคลทั้งหลายที่ทรงธรรมจงดำรงอยู่นาน

ขอสงฆ์จงเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเถิด

เพื่อให้เกิดประโยชน์แลเกื้อกูล

อัมเห  รักขะตุ  สัมธัมโม

สัพเพปิ  ธัมมะจาริโน

วุฑฒิง  สัมปาปุเณยยามะ

ธัมเม  อะริยัปปะเวทิเต.

ขอพระสัทธรรมจงรักษาเราทั้งหลาย

จงรักษาซึ่งท่านผู้ประพฤติธรรมแม้ทั้งปวง

ขอเราทั้งหลายจงถึงความเจริญ

ในธรรมที่พระอริยเจ้าแสดงแล้ว เทอญ

ปะสันนา  โหนตุ  สัพเพปิ

ปาณิโน  พุทธะสาสะเน

สัมมา  ธารัง  ปะเวจฉันโต

กาเล   เทโว   ปะวัสสะตุ

วุฑฒิภาวายะ  สัตตานัง

สะมิทธัง  เนตุ  เมทะนิง.

ขอเหล่าสรรพสัตว์จงมีความเลื่อมใส-

ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา

ขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล

ยังสายธารให้หลั่งไหลด้วยดี

เพื่อยังความเจริญงอกงามให้บังเกิดแก่หมู่สัตว์

และทำแผ่นดินให้เกิดประโยชน์

มาตา  ปิตา  จะ  อัต๎ระชัง

นิจจัง  รักขันติ  ปุตตะกัง

เอวัง  ธัมเมนะ  ราชาโน

ปะชัง  รักขันตุ  สัพพะทา.

ขอพระราชาผู้ปกครองแผ่นดิน

จงปกครองโดยชอบธรรมทุกเมื่อ

เปรียบดังเช่นมารดาบิดารักษาบุตรน้อย

ผู้เกิดแต่อกของตนเป็นนิตย์ฉะนั้นเทอญ.

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ริษยาเขา เราก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

: โมทนาเขา เราก็ไม่เสียอะไรออกไป

: แล้วไยจึงไม่โมทนา

: ซ้ำยังจะริษยาอยู่ทำไม?

#บาลีวันละคำ (2,888)

9-5-63

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย