บาลีวันละคำ

อรหันต์ (บาลีวันละคำ 774)

อรหันต์

อ่านว่า อะ-ระ-หัน

(พจน.54 บอกว่า อ่านว่า ออ-ระ-หัน ก็ได้)

บาลีเป็น “อรหนฺต” อ่านว่า อะ-ระ-หัน-ตะ

คำว่า “อรหนฺต” มีรากศัพท์มาได้หลายทาง เช่น :

(1) อรห (ธาตุ = สมควร) + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้ควรแก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย

(2) (= ไม่, ไม่ใช่) > + รห (ธาตุ = สละ, ทอดทิ้ง) = อรห + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้อันคนดีไม่ควรทอดทิ้ง

(3) อริ (= ข้าศึก) > อร + หนฺ (ธาตุ = กำจัด) = อรหน ลบที่สุดธาตุ > = อรห + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลสได้แล้ว

(4) อร (= ดุม กำ กง อันประกอบเข้าเป็นวงล้อ) + หนฺ (ธาตุ = กำจัด, เบียดเบียน) = อรหน ลบที่สุดธาตุ > อรห + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้หักซึ่งวงล้อแห่งสังสารวัฏได้แล้ว”

(5) (= ไม่ใช่, ไม่มี) > + รห (= การไปมา) = อรห + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้ไม่มีการไปมา” คือไม่ไปเกิดในภพภูมิไหนๆ อีก

(6) (= ไม่ใช่, ไม่มี) > + รห (= ความลับ, ที่ลับ, ความชั่ว) = อรห + อนฺต ปัจจัย = อรหนฺต แปลว่า “ผู้ไม่มีความลับ” (ไม่มีความไม่ดีไม่งามที่จะต้องปิดบังใครๆ) “ผู้ไม่มีที่ลับ” (สำหรับที่จะแอบไปทำความไม่ดีไม่งาม) “ผู้ไม่มีความชั่ว

อรหนฺต” ในบาลีเมื่อใช้ในข้อความจริง มักเปลี่ยนรูปเป็น “อรหํ” (อะ-ระ-หัง) หรือ “อรหา” (อะ-ระ-หา)

อรหนฺต” ในภาษาไทยใช้ว่า “อรหันต์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

อรหันต-, อรหันต์ : ชื่อพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดใน ๔ ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เรียกว่า พระอรหันต์. (ศัพท์นี้ใช้ อรหา หรือ อรหัง ก็มี แต่ถ้าใช้เป็นคําวิเศษณ์หรืออยู่หน้าสมาสต้องใช้ อรหันต)”

พระอรหันต์” ในความเข้าใจเป็นกลางๆ คือ ผู้สิ้นกิเลสแล้วด้วยประการทั้งปวง

พระอรหันต์ต้องละกิเลสคือ “สังโยชน์” ครึ่งหลังได้อีก 5 อย่าง ต่อจาก (1) ถึง (5) ที่พระอนาคามีละได้แล้ว กล่าวคือ –

(6) รูปราคะ “ความติดใจในวัตถุ” คือติดใจในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ (greed for fine-material existence; attachment to realms of form)

(7) อรูปราคะ “ความติดใจในนามธรรม” คือติดใจในอารมณ์หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ (greed for immaterial existence; attachment to formless realms)

(8) มานะ “ความสำคัญตน” คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (conceit; pride)

(9) อุทธัจจะ “ความฟุ้งซ่าน” (restlessness; distraction)

(10) อวิชชา “ความไม่รู้จริง” คือความหลงผิด หรือรู้ผิด (ignorance)

พระอรหันต์มี 2 ประเภท คือ –

(1) พระอรหันต์ที่หมดกิเลส แต่มิได้ทรงคุณวิเศษอย่างอื่น

(เรียกว่า พระสุกขวิปัสสก)

(2) พระอรหันต์ที่หมดกิเลส และทรงคุณวิเศษอย่างอื่นด้วย เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ (เรียกว่า พระสมถยานิก)

: สรุปหลักพื้นฐานที่ควรทราบและควรตระหนักเกี่ยวกับพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์)

(1) พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามีอาจเป็นคฤหัสค์ครองเรือนก็ได้

(2) คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุธรรมสูงสุดเป็นพระอรหันต์ได้ แต่จะมีคติเป็น 2 คือ (1) หลังจากบรรลุแล้วต้องถือเพศเป็นบรรพชิตในวันนั้น หรือ (2) ดับขันธ์ในวันนั้น

(3) พระอรหันต์ไม่หัวเราะ ไม่ยิ้ม ไม่มีอาการเริงร่าเพราะถูกใจชอบใจเรื่องใดๆ แต่อาจมีกิริยาแย้มเล็กน้อยได้ ส่วนด้านโทสะ แม้เพียงความหงุดหงิดก็ละได้แล้วตั้งแต่เป็นพระอนาคามี

(4) พระอรหันต์ไม่ฝัน เนื่องจากจิตสงบลึก (อาการฝันเกิดในขณะที่หลับไม่สนิท)

(5) พระอรหันต์ไม่เกิดอีก

(6) ท่านผู้ใดเป็นพระอริยบุคคลระดับไหน ผู้เป็นอริยบุคคลระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะรู้ได้บอกได้

(7) ดังนั้น ผู้ที่พูดว่า “หลวงปู่องค์นั้นหลวงพ่อองค์โน้นเป็นอริยสงฆ์” ก็เท่ากับบอกว่าตัวผู้พูดนั้นเป็นอริยบุคคลด้วยนั่นเอง

: แสวงหาพระอรหันต์ไปเจ็ดย่าน

: อย่าลืมพระอรหันต์ในบ้านของตัวเอง

—————-

(ตามคำเสนอแนะของ เมธีวุฒินันทน์ ภาณุภัทรธนวัฒน์)

#บาลีวันละคำ (774)

1-7-57

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *