การศึกษาเพื่อการรักษาพระศาสนา (๑)
การศึกษาเพื่อการรักษาพระศาสนา (๖) ตอน -๖-
————————————
มองพระศาสนาให้ตรง ลงมือทำให้ถูก
——————-
-๖-
——————-
เท่าที่กล่าวมา ฟังดูเหมือนกับว่าเวลานี้ผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันเลย
โปรดทราบว่า ผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้วศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมก็มี ไม่ใช่ไม่มี
หากแต่ว่ามีตามศรัทธา มีตามอัธยาศัย ตามใจรักใจสมัคร
ไม่ใช่เกิดจากสำนึกที่ถูกต้องว่าเป็นหน้าที่-ที่จะต้องทำ
ไม่ทำไม่ได้ ไม่ทำถือว่า-ผิด
ความสำนึกอย่างนี้ ไม่มี
การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมที่พอมีอยู่บ้างจึงเป็นเพียงจุดเล็กๆ ไม่เข้มข้น ไม่มีใครมองเห็นความสำคัญ ไม่มีใครตระหนัก เหมือนเป็นกิจที่แฝงอยู่ ไม่เป็นวิถีชีวิต ใครจะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่าอะไรกัน
จึงต้องฟื้นฟูความสำนึกในเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่
ถ้าฟื้นฟูความสำนึกขึ้นมาไม่ได้
การปฏิรูปการศึกษาก็เป็นไปได้ยาก
การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมก็จะเป็นเพียงกิจกรรมส่วนตัว ทำกันเป็นบางแห่งบางคนที่นั่นบ้างที่โน่นบ้างประปราย การส่งเสริมเผยแผ่ก็ทำกันอย่างเป็นงานส่วนตัว ทำไปตามกำลัง แล้วก็จะค่อยๆ จืดจางห่างหายไปทีละเล็กละน้อยจนสูญไปในที่สุด
เพราะฉะนั้น ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาพระศาสนา ก็ต้องถอยหลังไปปฏิรูปความคิดที่ไขว้เขวดังที่กล่าวมานี้กันก่อนด้วย
ก็ต้องถามคำถามเดิม นั่นคือ ใครจะทำ? ใครจะเป็นคนถอยหลังไปปฏิรูปความคิดที่ไขว้เขวนั้น?
ในที่สุดเราก็มาถึงทางตัน
คือมีแต่คนคิดว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ไม่มีคนทำ
ไม่มีคนที่ลงมือทำจริงๆ
ไม่มีคนที่ลงมือทำจนสำเร็จได้จริง
ก็ต้องถามเป็นคำถามสุดท้ายว่า การปฏิรูปการศึกษาจะสำเร็จได้ต้องมีคนลงมือทำ
ถามว่า ใครจะเป็นคนลงมือทำ?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
๑๒:๕๒
—————
(อ่านต่อตอน -๗-)