การศึกษาเพื่อการรักษาพระศาสนา (๑)
การศึกษาเพื่อการรักษาพระศาสนา (๖) ตอน -๒-
————————————
มองพระศาสนาให้ตรง ลงมือทำให้ถูก
——————-
-๒-
——————-
เมื่อได้แนวคิดหรือจับทิศทางได้ดังนี้แล้ว ต่อไปก็มาถึงประเด็นสำคัญอันเป็นเนื้อเป็นตัวของการนำแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาด้านการศึกษาไปปฏิบัติ หรือจะขอเรียกว่า จะจัดการศึกษาอย่างไรจึงจะเกิดผลดีที่สุดแก่พระพุทธศาสนา
ประเด็นสำคัญคือ –
๑ จะจัดการศึกษาเพื่ออะไร
๒ จะจัดการศึกษาให้ใคร
๓ จะจัดการศึกษาอย่างไร
………………..
๑ จะจัดการศึกษาเพื่ออะไร
คำตอบต้องชัดเจน กล่าวคือ –
เพื่อให้รู้เข้าใจคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า
แล้ว-เพื่อนำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติสำหรับตัวเอง
แล้ว-เพื่อเผยแผ่คำสอนที่ถูกต้องนั้นให้มีผู้รู้และประพฤติปฏิบัติตามแพร่หลายกว้างขวางออกไป
การจัดการศึกษาเพื่ออย่างอื่นจากที่กล่าวนี้ เช่น-เพื่อให้ได้ประกาศนียบัตรปริญญาบัตร หรือแม้เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อยกสถานภาพทางสังคม หรือเพื่อการเลี้ยงชีพเป็นต้น-ถือว่าเป็นการเบี่ยงเบน
เวลานี้เรื่องทำท่าจะเป็นว่า-ก็รู้ว่าเบี่ยงเบน แต่ทุกวันนี้โลกเขานิยมอย่างนี้ เรายังอยู่กับโลกก็จำต้องทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มิเช่นนั้นก็อยู่กับโลกไม่ได้
ต้องตกลงกันตรงนี้ให้ดีด้วย มิเช่นนั้นเราจะไปผิดทางตั้งแต่เริ่มต้น
………….
จัดการศึกษาเพื่ออะไร-อีกเป้าหมายหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเราไม่เคยคิดกันมาก่อน นั่นก็คือ-เพื่อเตรียมคนไว้เป็นทายาทรับช่วงสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
เราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะพระพุทธศาสนาในบ้านเรามั่นคงเสียจนเรามองไม่เห็น นึกไม่ออก ว่าจะต้องเตรียมคนไปเพื่ออะไรกันในเมื่อบ้านเมืองของเราเต็มไปด้วยชาวพุทธอยู่แล้ว
อุปมาเหมือน-ทุกหนทุกแห่งมีอาหารการกินบริบูรณ์ตลอดเวลา มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเตรียมเก็บสะสมอาหารหรือเตรียมผลิตอาหารเอาไว้กิน-ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่ ณ เวลานี้มันไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว
บ้านเมืองของเราที่ว่าเต็มไปด้วยชาวพุทธอยู่แล้วนั้นเป็นชาวพุทธแต่เปลือกเสียเป็นส่วนมาก อย่างที่เราเรียกกันว่า-พุทธตามสำมโนครัว
แต่ดูที่เนื้อในแล้ว ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง มีแต่ศรัทธาที่ขาดปัญญากำกับ ทำ พูด คิด ในเงาของพระพุทธศาสนา แต่เนื้อหาสาระไม่ใช่พระพุทธศาสนา-หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาอันเป็นคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า
และที่น่าห่วงที่สุดก็คือ มองไม่เห็นภัยที่กำลังเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ขาดความสำนึกที่จะศึกษาและรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงยั่งยืนอยู่กับแผ่นดินไทยตลอดไปชั่วกาลนาน
พูดสั้นๆ เรามีแต่ปริมาณ แต่ขาดคุณภาพแทบจะโดยสิ้นเชิง
ดูกันง่ายๆ พระกอดแม่ ชาวพุทธสมัยใหม่พากันชื่นชมยินดีกระหึ่มไปหมด
นี่มันวิปริตถึงขนาดนี้แล้ว
ถ้าไม่เตรียมสร้างคนไว้ทำหน้าที่บริหารสืบทอดพระพุทธศาสนา (ขอย้ำด้วยว่า-พระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง) พระพุทธศาสนาจะตกอยู่ในมือของคนที่ไม่มีความรู้ หรือรู้ผิดปฏิบัติผิด ความวิปริตก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ต้องคิดจัดการศึกษาเพื่อสร้างทายาทด้วย-สร้างอย่างมีแผน มีขั้นตอน มีเป้าหมาย
ไม่ใช่รอให้ทายาทเกิดเอง มาเอง ตามศรัทธา เหมือนที่เป็นมาในอดีต
………….
เมื่อพูดว่า “ทายาทเกิดเอง มาเอง ตามศรัทธา” ควรจะต้องนึกถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ นั่นคือ จำนวนพระภิกษุสามเณรที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ วัดที่เคยมีพระเณรเป็นร้อย ลดลงเหลือแทบไม่ถึงร้อย ที่เคยมีหลายสิบ ลดลงเหลือสิบกว่าๆ มีทีท่าว่าจะไม่ถึงสิบ
ชายไทยที่ “บวชเอาพรรษา” เหมือนสมัยก่อนแทบจะหาไม่ได้แล้ว
ถ้าเรายังใช้วิธีเดิมๆ คือรอให้ทายาทเกิดเอง มาเอง ตามศรัทธา พระพุทธศาสนาวิกฤตแน่
และถ้าไม่รีบวางแผนแก้ปัญหา วัดในพระพุทธศาสนาร้างหมดแน่ๆ
ที่ซ้ำร้ายก็คือ คุณภาพของพระภิกษุสามเณรที่อ่อนด้อยลงไปทุกที-โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดความรู้ความเข้าใจแม่นยำช่ำชองในหลักพระธรรมวินัย และขาดความตั้งใจที่จะดำรงวิถีชีวิตของสมณเพศให้เคร่งครัดเข้มข้น
ในทางตรงกันข้าม พฤติกรรมอย่างที่ชาวบ้านในสมัยพุทธกาลตำหนิติเตียนว่า “พระทำอย่างนี้ก็เหมือนชาวบ้าน” (ยเถว มยํ … เอวเมวิเม) ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งและเปิดเผยแพร่หลายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าชาววัดซึ่งมีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบการพระศาสนาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์สะอาดจะดำรงอยู่และดำเนินต่อไปได้อย่างไร
ปัญหานี้ เชื่อว่าผู้บริหารการพระศาสนาในปัจจุบันท่านก็มองเห็นอยู่ แต่ไม่มีใครคิดที่จะวางแผนแก้ไข ได้แต่นั่งดูอยู่เฉยๆ
เหตุผลข้อสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความประมาทเฉยเมยนี้ก็คือความคิดความรู้สึกที่ว่า “เราประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมนำหมู่คณะไปได้แค่นี้ก็พอแล้ว พระศาสนาไม่ใช่ของเราคนเดียว เราอยู่อีกไม่นานก็ตายแล้ว ใครอยู่ข้างหลังก็รับผิดชอบกันไปเถิด”
ผู้บริหารการพระศาสนาของเราส่วนมากคิดแบบนี้ เป็นการคิดแบบเอาตัวรอด ไม่ได้คิดแบบมหาบุรุษที่อุทิศชีวิตเพื่อพิทักษ์รักษาสร้างมรดกส่งมอบให้ลูกหลาน
………….
ควรสังเกตไว้ด้วยว่า ชาวพุทธมีอยู่ทั่วไป แต่ชาวพุทธที่เป็นมหาบุรุษสามารถจะเชิดชูและปกป้องพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป
ถ้าลองประมวลดูแล้ว มหาบุรุษย่อมจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ –
๑ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยว
๒ เป็นสัมมาทิฐิ นับถือหลักคำสอนที่ถูกต้อง
๓ มีบารมี มีอำนาจ
๔ มีความกล้าหาญ โดยเฉพาะกล้าที่จะใช้อำนาจ (มีอำนาจ แต่ไม่กล้าใช้อำนาจก็เหมือนไม่มี)
มหาบุรุษที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ จะรอให้เกิดเอง หรือสร้างขึ้นก็ได้ ลองพิจารณาดูเถิด
………….
ในเมื่อเราไม่รู้ว่ามหาบุรุษอยู่ที่ไหน หรือเมื่อไรจึงจะมาเกิด ถ้ามัวแต่รอมหาบุรุษ พระพุทธศาสนาก็อาจจะไม่เหลือ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาจึงต้องตั้งเป้าหมายที่จะสร้างทายาทพระศาสนาที่มีคุณภาพขึ้นไว้ให้ได้และให้มากพอที่จะทำหน้าที่แบกรับภาระนำพาพระศาสนาที่บริสุทธิ์ถูกต้องให้ดำรงอยู่และดำเนินวัฒนาถาวรต่อไป
ควรจะต้องถือว่า เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่จำเป็นเร่งด่วนและสำคัญที่สุด ต้องคิด ต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จด้วย
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
๑๗:๔๕
—————
(อ่านต่อตอน -๓-)