สารัตถปกาสินี (บาลีวันละคำ 3,101)
สารัตถปกาสินี
คัมภีร์ประกาศแก่นพุทธศาสน์
อ่านว่า สา-รัด-ถะ-ปะ-กา-สิ-นี
ประกอบด้วยคำว่า สารัตถ + ปกาสินี
(๑) “สารัตถ” แยกศัพท์เป็น สาร + อัตถ
(ก) “สาร” บาลีอ่านว่า สา-ระ รากศัพท์มาจาก –
(1) สรฺ (ธาตุ = ขยาย, พิสดาร) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ ส-(รฺ) เป็น อา (สรฺ > สาร)
: สรฺ + ณ = สรณ > สร > สาร แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ขยายออก”
(2) สา (ธาตุ = มีกำลัง, สามารถ) + ร ปัจจัย
: สา + ร = สาร แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่มีกำลัง”
“สาร” (ปุงลิงค์) ในภาษาบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) สำคัญ, ประเสริฐยิ่ง, แข็งแรง (essential, most excellent, strong)
(2) ชั้นในที่สุด และส่วนที่แข็งที่สุดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, แก่นหรือแกนของไม้ (the innermost, hardest part of anything, the heart or pith of a tree)
(3) แก่นสาร, ส่วนสำคัญ, ส่วนที่ดีที่สุด (substance, essence, choicest part)
(4) คุณค่า (value)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “สาร” ไว้หลายคำ ขอยกมา 2 คำดังนี้ –
(1) สาร ๑, สาร– ๑ : (คำนาม) แก่น, เนื้อแท้, มักใช้เข้าคู่กับคำ แก่น เป็น แก่นสาร; ข้อความ, ถ้อยคำ, เรื่องราว, เช่น กล่าวสาร สื่อสาร, หนังสือ เช่น นิตยสาร วารสาร, จดหมาย เช่น เขียนสาร สารของนายกรัฐมนตรีถึงเยาวชน. (ป., ส.).
(2) สาร ๒ : (คำนาม) สิ่งที่มีองค์ประกอบเป็นอย่างเดียวกัน มีสมบัติเฉพาะของตนเอง และไม่สามารถใช้วิธีกลใด ๆ มาแบ่งแยกให้เป็นส่วนอื่นที่มีองค์ประกอบและสมบัติแตกต่างออกไปได้; (คำโบราณ) เรียกธาตุจําพวกหนึ่งและธาตุที่เข้าแทรกในต้นไม้ว่า สาร.
(ข) “อัตถ” เขียนแบบบาลีเป็น “อตฺถ” อ่านว่า อัด-ถะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อรฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ถ ปัจจัย, แปลง รฺ ที่ (อ)-รฺ เป็น ตฺ (อรฺ > อตฺ)
: อรฺ + ถ = อรถ > อตฺถ แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งเป็นเครื่องให้ดำเนินไปได้” (2) “สิ่งที่ให้ดำเนินไปตามการณ์” (3) “สิ่งอันบุคคลถึง คือได้รับตามครรลองแห่งเหตุ”
(2) อสฺ (ธาตุ = มี, เป็น) + ถ ปัจจัย, แปลง ส ที่ (อ)-สฺ เป็น ตฺ (อสฺ > อตฺ)
: อสฺ + ถ = อสถ > อตฺถ แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งเป็นเหตุให้มีให้เป็น” (2) “เหตุให้มีศัพท์”
(3) อตฺถฺ (ธาตุ = ขอ, ปรารถนา) + อ (อะ) ปัจจัย
: อตฺถ + อ = อตฺถ แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะที่ต้องการ”
“อตฺถ” (ปุงลิงค์) มีความหมายหลายอย่าง เช่น –
(1) กำไร, ผลประโยชน์, การได้เปรียบ, ความดี (ทางศีลธรรม), พร, สวัสดิภาพ, ผลที่ได้มา, ความรุ่งเรือง, สวัสดิการ (interest, advantage, gain; (moral) good, blessing, welfare; profit, prosperity, well-being)
(2) ความประสงค์, ความต้องการ, ความปรารถนา (need, want)
(3) เนื้อความ, ความหมาย, ความสำคัญ (ของคำพูด), การหมายถึง (sense, meaning, import, denotation, signification)
(4) เรื่องราว, ความเห็น, คดี (affair, cause, case)
“อตฺถ” ในภาษาไทยนิยมใชอิงสันสกฤตเป็น “อรรถ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อรรถ, อรรถ– : (คำนาม) เนื้อความ เช่น แปลโดยอรรถ, คําที่ยังไม่ได้แปลความหมาย เช่น คําอรรถ. (ส. อรฺถ; ป. อตฺถ).”
ในที่นี้ “อัตถ” เขียนตามรูปบาลี
สาร + อตฺถ = สารตฺถ แปลตามศัพท์ว่า “ความหมายอันเป็นแก่นสาร” หรือ “ประโยชน์อันเป็นแก่นสาร”
บาลี “สารตฺถ” ในภาษาไทยใช้เป็น “สารัตถ-” (มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย) และ “สารัตถะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“สารัตถ-, สารัตถะ : (คำนาม) เนื้อหาหลัก, ใจความสําคัญ, ความคิดสําคัญของเรื่อง.”
(๒) “ปกาสินี”
อ่านว่า ปะ-กา-สิ-นี รากศัพท์มาจาก ปกาส + อินี ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
(ก) “ปกาส” รากศัพท์มาจาก ป (คำอุปสรรค = ทั่ว, ข้างหน้า, ก่อน, ออก) + กาสฺ (ธาตุ = ส่องแสง, ส่งเสียง) + อ (อะ) ปัจจัย
: ป + กาสฺ = ปกาสฺ + อ = ปกาส (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ส่องสว่างทั่ว” “ผู้ส่งเสียงไปทั่ว”
“ปกาส” ในบาลีมักใช้ในความหมายว่า แสงสว่าง, ความสว่าง (light)
ถ้าใช้ในความหมายว่า การอธิบาย, การทำให้ทราบ, ข่าวสาร, หลักฐาน, การชี้แจง, การประกาศ, การเผยแพร่ (explaining, making known; information, evidence, explanation, publicity) บาลีนิยมใช้ในรูป “ปกาสน” (ปะ-กา-สะ-นะ) (ป + กาสฺ + ยุ > อน = ปกาสน) แต่ “ปกาส” ที่ใช้ในความหมายเดียวกับ “ปกาสน” ก็มี
บาลี “ปกาส” สันสกฤตเป็น “ปฺรกาศ”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปฺรกาศ : (คำนาม) ‘ประกาศ,’ สูรยาตบะ, สูรยาโลก, แสงแดด; โศภา, ประภา; ความเบิกบาน, ความสร้าน, ความแสดงไข; หัวเราะ; ยิ้ม; ความเปิดเผยหรือแพร่หลาย; ธาตุสีขาวหรือธาตุหล่อระฆัง; sunshine; luster, light, expansion, diffusion, manifestation; a laugh; a smile; publicity; white or bellmetal.”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน ยังมีคำว่า “ปฺรกาศ” ที่ใช้เป็นคำกริยาวิเศษณ์ บอกไว้ว่า –
“ปฺรกาศ : (คำกริยาวิเศษณ์) ‘ประกาศ,’ โดยเปิดเผย; openly, publicly.”
และมีรูปคำ “ปฺรกาศน” เช่นเดียวกับ “ปกาสน” ในบาลี บอกไว้ดังนี้ –
“ปฺรกาศน : (คำนาม) ‘ประกาศน์,’ การจุดประทีปโคมไฟ, การให้แสงสว่าง; การแสดงไข; illuminating, giving light; making clear or manifest.”
ในภาษาไทยใช้อิงรูปสันสกฤตเป็น “ประกาศ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ประกาศ : (คำกริยา) ป่าวร้อง, แจ้งให้ทราบ, เช่น ประกาศงานบุญงานกุศล. (คำนาม) ข้อความที่แจ้งให้ทราบทั่วกัน เช่น ประกาศของวัด ประกาศของบริษัท; ข้อความที่ทางราชการแจ้งให้ประชาชนทราบหรือวางแนวทางให้ปฏิบัติ เช่น ประกาศพระบรมราชโองการ ประกาศกระทรวง ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี. (ส. ปฺรกาศ; ป. ปกาส).”
(ข) ปกาส + อินี = ปกาสินี แปลว่า “(อรรถกถา) อันส่องสว่างทั่วถ้วน” หรือ “(อรรถกถา) อันประกาศให้เข้าใจชัด”
สารตฺถ + ปกาสินี = สารตฺถปกาสินี > สารัตถปกาสินี แปลความว่า “(อรรถกถา) อันส่องสว่างให้เห็นสารัตถะทั่วถ้วน” หรือ “(อรรถกถา) อันประกาศสารัตถะให้เข้าใจชัด”
หมายเหตุ : คำนี้ว่าตามหลักบาลีไวยากรณ์ว่าด้วยการสมาส ย่อมนิยมซ้อน ปฺ ระหว่าง สารตฺถ กับ ปกาสินี เนื่องจากศัพท์หลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ป–
: สารตฺถ + ปฺ + ปกาสินี = สารตฺถปฺปกาสินี (สา-รัด-ถับ-ปะ-กา-สิ-นี)
แต่เมื่อใช้เป็นคำไทย นิยมตัดตัวซ้อนออก เขียนเป็น “สารัตถปกาสินี”
ขยายความ :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความไว้ว่า –
…………..
“สารัตถปกาสินี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถา อธิบายความในสังยุตตนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆสาจารย์เรียบเรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเก่าภาษาสิงหฬที่สืบมาแต่เดิมเป็นหลัก เมื่อ พ.ศ. ใกล้จะถึง ๑๐๐๐.”
…………..
แถม :
พระสุตตันตปิฎก หรือพระสูตร เป็น 1 ในพระไตรปิฎก แบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 กลุ่ม เรียกว่า “นิกาย” คือ –
1 ทีฆนิกาย
2 มัชฌิมนิกาย
3 สังยุตนิกาย
4 อังคุตรนิกาย
5 ขุทกนิกาย
โบราณเอาคำแรกของชื่อนิกายทั้ง 5 มาเรียกรวมกันว่า “ทีมะสังอังขุ” นับถือกันว่าเป็น “หัวใจพระสุตตันตปิฎก” หรือ “หัวใจพระสูตร”
คัมภีร์ “สารัตถปกาสินี” เป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถา อธิบายพระสุตตันตปิฎกเฉพาะส่วนที่เป็นสังยุตนิกาย
คัมภีร์ “สารัตถปกาสินี” พิมพ์เป็นอักษรไทยแบ่งเป็น 3 เล่ม หรือ 3 ภาค
หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทยไม่ได้ใช้คัมภีร์สารัตถปกาสินีเป็นแบบเรียนในชั้นใดๆ ทั้งสิ้น
…………..
ดูก่อนภราดา!
: โลกนี้มีสาระ แต่ขยะก็มากมี
ใครใดดวงตาดี ก็จะดูและรู้ทัน
: ส่วนผู้ดวงตาพร่า ก็จะคว้าแต่เงาฝัน
ตาใครก็ตามัน เห็นแทนกันบได้เอย.
8-12-63