บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (1)

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (7)

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (7)

————————-
ตอน-แผน “กันที่ไว้รอท่า”

ถ้าจะพูดเรื่องศาสนาประจำชาติตอนนี้ คงไม่เป็นการผิดกาลเทศะนะครับ

คือมีพระคุณเจ้าระดับพระเถระรูปหนึ่งท่านยังมีความตั้งใจที่จะเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ได้เสนอแนะวิธีการล่ารายชื่อว่าให้ทำอย่างนี้ๆ เราก็จะได้รายชื่อไปเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างนั้นๆ เพื่อดำเนินการบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติต่อไป

ผมน้อมคารวะในกุศลเจตนาของพระคุณท่าน และนมัสการไปว่าผมจะรับไปเป็นการบ้าน

“รับไปเป็นการบ้าน” ในความหมายของผมคือเอาไปคิดต่อ-ดังที่ผมกำลังจะว่าให้ฟังต่อไปนี้

——————–

เรื่องให้บัญญัติศาสนาประจำชาติ ผมได้แสดงความเห็นเป็นอุปมาไว้ว่า เหมือนชายหญิงอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน สมัยก่อนก็ทำพิธีแต่งงานอยู่กินกันไป ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นสามีภรรยากัน

แต่เดี๋ยวนี้มีกฎหมายกำหนดว่าชายหญิงที่จะเป็นสามีภรรยากัน “ตามกฎหมาย” จะต้องจดทะเบียนสมรส ถ้าไม่จด กฎหมายก็จะไม่ยอมรับว่าเป็นสามีภรรยากัน

การขอให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็เหมือนขอให้จดทะเบียนสมรสเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง

ตอนนั้นเสียงค้านกระแสหนึ่งจะแย้งย้อนว่า บัญญัติแล้วจะทำให้ศาสนาพุทธเจริญมั่นคงขึ้นอย่างนั้นหรือ

แย้งย้อนแบบนี้โปรดรู้เท่าทันว่า เป็นคนละประเด็นกัน

เหมือนกับถามแย้งว่า-จดทะเบียนสมรสแล้วจะทำให้สามีภรรยารักกันมากยิ่งขึ้นกระนั้นหรือ

สามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนเพื่อให้รักกันมากยิ่งขึ้น

แต่จดเพื่อให้เป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย

เราไม่ได้เรียกร้องให้บัญญัติเพื่อศาสนาพุทธจะได้เจริญมั่นคง

แต่เรียกร้องให้บัญญัติเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย

เพราะบ้านเมืองเราเป็นนิติรัฐ ทำอะไรต้องมีกฎหมายรองรับ ต้องถูกต้องตามกฎหมาย

ผมไม่ทราบว่าฝ่ายที่คัดค้านมีคำตอบให้ประเด็นนี้หรือเปล่า

แต่มีหรือไม่มี ผลก็คือไม่บัญญัติ

ถอดเป็นคำพูดก็เหมือนจะบอกง่ายๆ ว่า-ไม่ต้องจดให้ยุ่งยากหร็อก อยู่กินกันไปเฉยๆ แบบนี้แหละดีแล้ว

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นโดยนิตินัยให้ยุ่งยากหร็อก

ตอบอย่างนี้ ท่านผู้ใดเห็นความถูกต้องชอบธรรมบ้าง

…………….

จำได้ไหมครับ ผมเคยเล่าเรื่องคนถวายที่ดินให้วัด ทำพิธีมอบถวายโฉนดกันเอิกเกริกรู้กันไปทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้วัด

แล้วผลเป็นอย่างไร พอผู้ถวายตาย ทายาทผู้รับมรดกก็อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของตามกฎหมายทันที

กฎหมายก็ตัดสินทันทีว่าที่ดินไม่ใช่ของวัด ให้ตกเป็นของผู้รับมรดกตามกฎหมาย

พอจะเปรียบเทียบเห็นภาพไหมครับว่า ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นกับสามีภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

และตามอุปมาอุปไมยนั้น พอจะมองเห็นไหมครับว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย-ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นศาสนาประจำชาติ-ตามกฎหมาย

อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้-ในนิติรัฐ บ้านเมืองที่ถือว่า-กฎหมายคือพระเจ้า

——————–

เสียงคัดค้านทุกคราวที่มีการเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาประจำชาติอ้างเหตุผลว่า บ้านเมืองเรามีหลายศาสนา หากบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จะเอาศาสนาอื่นๆ ไปไว้ที่ไหน

ฟังเผินๆ ชั้นเดียวก็ดูดี มีเหตุผล แต่ลึกๆ ลงไปคือสิ่งที่ผมเรียกว่า “กันที่ไว้รอท่า”

ถ้าเป็นห่วงศาสนาอื่นจริงๆ เราควรจะรณรงค์กันด้วยแนวคิดอีกแบบหนึ่ง นั่นคือให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า –

………………

ประเทศไทยมีเสรีภาพทางศาสนา รัฐจะบัญญัติให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติมิได้

………………

ถ้าบัญญัติไว้อย่างนี้ละก็ชัวร์ ทุกศาสนาจะปลอดภัย

แต่ก็ชัวร์เช่นกัน คือรับรองได้เลยว่าถ้าบัญญัติแบบนั้นจะมีเสียงคัดค้านอึงคะนึงทันทีจากฝ่ายที่-กันที่ไว้รอท่า

บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ค้าน

บัญญัติไม่ให้ศาสนาไหนๆ เป็นศาสนาประจำชาติ ก็ค้าน

เพราะถ้าบัญญัติแบบนั้น เมื่อถึงเวลาที่ตัวเองพร้อมจะเป็นศาสนาประจำชาติก็จะเป็นไม่ได้

เว้นไว้แต่มีแผนจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง-เมื่อถึงเวลา

อุปมาเหมือนประเทศไทยเป็นสามีที่มีภรรยาหลายคน

สามีจะจดทะเบียนกับภรรยาเอก ก็ค้าน

จะประกาศไม่จดกับคนไหนทั้งสิ้น ก็ไม่เอา

เพราะอยากให้จดกับตัว

จะขอให้จดกับตัวตอนนี้ ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะยังปลูก “เรือนหอ” ไม่เสร็จ

เพราะฉะนั้นก็ต้องกันท่าไว้ก่อน ตามแผน “กันที่ไว้รอท่า”

เวลานี้กำลังปลูกเรือนหอจะทั่วประเทศไทยอยู่แล้ว

เพื่อนผมอยู่เชียงรายปรารภมาว่า ปู่ย่าตายายเกิดมาไม่เคยเห็น บ้านประหลาดไปโผล่ขึ้นที่เชียงรายซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยมีชุมชนชนิดนั้นอยู่ที่นั่นมาก่อนเลย

ทุกจังหวัดกำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

วันใดปลูกเรือนหอเต็มประเทศไทย
วันนั้นกระบวนการลักไก่จดทะเบียนจะเกิดขึ้นทันที

แล้วก็จะเป็นอย่างที่ผมว่า-ชาวพุทธ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ก็จะได้ยินคำประกาศว่า บัดนี้ประเทศไทยมีศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเรียบร้อยแล้ว-ตามกฎหมาย

——————–

เราคงยังจำกันได้ว่า เมื่อครั้งรณรงค์ศาสนาประจำชาติกันนั้นมีเสียงคัดค้านดังอึงคะนึงทุกทิศ

ผู้คัดค้านมีตั้งแต่-บอกชื่อไปแล้วก็แทบไม่มีใครรู้จัก ไปจนถึงคนที่เอ่ยชื่อออกไปแล้วรู้จักกันไปทั่วโลก

วาทะที่โด่งดังมากในครั้งกระนั้นก็คือ —

………………

ถ้าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
เลือดจะนองท่วมท้องช้าง

………………

คำว่า “เลือดจะนองท่วมท้องช้าง” เป็นสำนวน หมายถึงผู้คนจะฆ่ากันวุ่นวายไปหมด

——————–

ผมนึกถึงวาทะของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี (๒๙ พฤษภาคม ๒๔๖๐ – ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๖) ของอเมริกา ที่ว่า –

Forgive your enemies, but never forget their names.

ให้อภัยเขา แต่จำชื่อไว้

ผมอยากจะให้พวกเราช่วยกันจดจำไว้ว่ามีใครบ้างที่คัดค้านและให้เหตุผลในการคัดค้านว่าอย่างไร

เพื่อการศึกษาเป็นบทเรียนเท่านั้น

ไม่ใช่จะไปอาฆาตพยาบาทหรือคุมแค้นขุ่นเคือง

จงมีไมตรีจิตต่อกันด้วยดีทุกประการเหมือนเดิม-หรือมากกว่าเดิม

ขอให้ช่วยกันภาวนาให้ท่านเหล่านั้นมีอายุยืนยาวอยู่ไปจนถึงวันนั้น

(แต่แม้ตัวจะอยู่ไม่ถึงตอนนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะความเห็นของท่านยังจะมีคนจำได้กันอยู่มาก)

จนถึงวันที่-ชาวพุทธ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วได้ยินคำประกาศว่า บัดนี้ประเทศไทยมีศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเรียบร้อยแล้ว-ตามกฎหมาย

อยากจะดูว่าท่านเหล่านั้นจะว่าอย่างไร
ยังจะคัดค้านอีกหรือไม่
ยังจะยืนยันอยู่หรือไม่ว่า-เลือดจะนองท่วมท้องช้าง

จะยังคงรู้สึกอยู่หรือไม่ว่า การที่ช่วยกันคัดค้าน-กันที่ไว้รอท่า-ในครั้งกระนั้นถือว่าเป็นการสนองคุณพระศาสนาและนับเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลสืบไป-เพราะผลจากการคัดค้านก็คือทำให้ศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาได้เป็นศาสนาประจำชาติไทย-ตามกฎหมาย เรียบร้อยโรงเรียนสอนศาสนาไปแล้ว

หรือว่าจะลุกขึ้นมาทำหน้าสะลึมสะลือบอกว่า –

ฉันไม่รู้เรื่อง

เขาให้ฉันค้านไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ฉันก็ค้านตามหน้าที่

แต่ตอนนี้ศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติฉันไม่รู้ด้วย

กฎหมายเขาว่าอย่างไรล่ะ

กฎหมายบอกว่าให้ศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ต้องให้เขาเป็นตามกฎหมาย

เราเป็นพลเมืองดีต้องเคารพกฎหมายมิใช่เรอะ

เลือดท่วมท้องช้างท้องม้าอะไรฉันไม่รู้ด้วย

เรื่องศาสนาควรอยู่กันอย่างสงบ ไม่ใช่มาเอะอะโววายอย่างนี้

จะไปไหนก็ไปๆ ซะทีเถอะ คนจะหลับจะนอนมาเซ้าซี้อยู่ได้ น่ารำคาญว่ะ
ฯลฯ
ฯลฯ

——————–

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ ก็เพียงเพื่อให้รู้ทันไว้ว่า-เรื่องศาสนาประจำชาติ อย่าได้เรียกร้องอะไรเสียให้ยาก ต่อให้ลงชื่อกันครบ ๗๐ ล้านคนก็ไม่มีทาง เพราะคำตอบสำเร็จรูปมีอยู่แล้วว่า ศาสนาประจำชาติของไทยต้องไม่ใช่ศาสนาพุทธ

ย้ำ-สรุปว่า

๑ อย่าได้คิดไปเรียกร้องอะไรอีก
๒ ช่วยกันรู้ทัน เมื่อถึงวันนั้นจะได้ไม่ต้องอุทานว่า-นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้

เพราะฉะนั้นนึกให้ถึงไว้ตั้งแต่วันนี้ อย่างน้อยก็ปิดประตูไม่ให้ใครมาเย้ยหยันว่า-อ้อ เพิ่งรู้เรอะ

คงเหลือความบกพร่องของพวกเราเพียงข้อเดียวที่จะถูกยิ้มเยาะ นั่นคือ ในเมื่อรู้ทันขนาดนี้แล้วยังปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้

แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไร

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
๑๘:๒๐
……………..
ตอน 8 ความโง่ของคนฉลาด

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย
……………..
ตอน 6 ต้นแบบของคนดี

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *