การใช้อำนาจข้ามเขต
———————-
ถ้ามุสลิมอ้างหลักศาสนาอิสลามแล้วทำอะไรๆ กับมุสลิมด้วยกัน ย่อมเป็นเรื่องชอบธรรม
แต่ถ้ามุสลิมอ้างหลักศาสนาอิสลามแล้วข้ามเขตมากระทำกับสิทธิของชาวพุทธ ย่อมเป็นเรื่องไม่ชอบธรรม
เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่พี่น้องมุสลิมบางคนอ้างหลักศาสนาอิสลาม แต่ข้ามเขตเข้ามากระทบกับสิทธิของชาวพุทธ
เป็นแง่มุมที่ผมเข้าใจว่าชาวพุทธเราลืมมองหรืออาจจะไม่ทันได้คิด เพราะไปมัวพะวงอยู่กับคำอ้างว่าในศาสนาของเขาห้ามอะไร จนลืมมองไปว่า-แล้วเขาทำอะไรกับเรา
นี่ไม่ใช่เจตนาที่จะชวนให้ทะเลาะกัน แต่เป็นเจตนาที่จะบอกแก่เพื่อนชาวพุทธด้วยกันให้รู้ทันสิ่งที่เราถูกกระทำ
และอย่างที่ผมเคยบอกไว้แล้ว-ถ้าใครเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ควรพูด ก็ขอให้ไปบอกคนทำด้วยว่า-เป็นเรื่องไม่ควรทำ
———-
นานมาแล้ว มีองค์กรแห่งหนึ่งจัดรายการทัศนศึกษาให้แก่สมาชิก โดยเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ และพักแรมตามที่ต่างๆ สมัยนั้นนิยมประกอบอาหารจัดเลี้ยงกันเอง
ในหมู่สมาชิกที่ร่วมเดินทางทัศนศึกษาคราวนั้นมีท่านผู้หนึ่งเป็นมุสลิม ท่านบอกแก่คณะว่า อาหารที่ประกอบเลี้ยงกันในระหว่างพักแรมนั้นถ้ามีหมูปรุงผสมอยู่ด้วย ท่านรับประทานไม่ได้เพราะขัดต่อหลักศาสนาของท่าน
ปรากฏว่า ตลอดการเดินทางทัศนศึกษาหลายวัน อาหารที่ทำเลี้ยงกันไม่มีเนื้อหมูเลยแม้แต่มื้อเดียว
เราไม่เคยบังคับให้พี่น้องมุสลิมกินหมู
แต่เราถูกมุสลิมบังคับให้อดกินหมู
เคยมองในมุมนี้กันบ้างไหม?
———-
ในพิธีประดับยศของทหารไทย ต้องตั้งโต๊ะหมู่บูชา มีธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (เป็นเครื่องหมายแทนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) เริ่มพิธีโดยประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ผู้เข้ารับการประดับยศเมื่อได้รับการประดับเครื่องหมายยศแล้วก็ไปกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา ทำความเคารพธงชาติ และถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในพิธีประดับยศที่ผมนำมาเล่าให้ฟังในบทความเรื่อง “มีกูต้องไม่มีมึง” นายทหารผู้ใหญ่ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานในพิธีท่านเป็นมุสลิม ท่านสั่งไม่ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชา รวมทั้งธงชาติและพระบรมฉายาลักษณ์
การกระทำเช่นนี้คืออะไร
เราเคยมองกันแต่เพียงว่า ท่านห้ามตั้งโต๊ะหมู่บูชามีพระพุทธรูปเพราะขัดต่อหลักศาสนาของท่าน
แต่แท้ที่จริงก็คือ ท่านห้ามไม่ให้ทหารชาวพุทธไหว้พระในพิธีการนั่นเอง
ถ้าท่านจะสั่งพี่น้องมุสลิมของท่านไม่ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ไม่ให้ไหว้พระ นั่นย่อมถูกต้องและชอบธรรมตามหลักศาสนาของท่าน
แต่นี่ท่านสั่งไม่ให้ทหารชาวพุทธตั้งโต๊ะหมู่บูชาตามหลักศาสนาของเขา
ชาวพุทธไม่เคยห้ามพี่น้องมุสลิมไม่ให้ทำละหมาด
แต่เราถูกมุสลิมคนหนึ่งที่ได้รับอำนาจสั่งไม่ให้เราไหว้พระ
เคยมองในมุมนี้กันบ้างไหม?
———-
ที่โรงเรียนนายเรือ เมื่อถึงคราวนักเรียนนายเรือสอบเลื่อนชั้น มีแบบธรรมเนียมจัดให้มีพิธีเปิดสอบ โดยตั้งโต๊ะหมู่บูชาในห้องสอบ นายทหารผู้ใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายศึกษาเป็นประธานในพิธี เริ่มด้วยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก่อน แล้วประธานให้โอวาท แล้วจึงลงมือสอบ
เรียกตามวัฒนธรรมไทยก็ว่า-ไหว้พระก่อนสอบไล่ครั้งสำคัญ
นับเป็นแบบธรรมเนียมที่งดงามและทรงคุณค่าทางจิตใจยิ่งนัก
เมื่อนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นมุสลิมได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายศึกษาโรงเรียนนายเรือ (คนเดียวกับที่ห้ามตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีประดับยศดังที่เล่าแล้ว) ท่านได้สั่งให้ยกเลิกพิธีเปิดสอบนั้นเสีย คงมีแต่การสอบ แต่ไม่มีการไหว้พระก่อนสอบ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชาวพุทธถูกกระทำ
ก็คงต้องพูดคำเดิม
ในบ้านเมืองนี้ นักเรียนมุสลิมไม่เคยถูกชาวพุทธห้ามไม่ให้ทำละหมาด
แต่มุสลิมคนหนึ่งที่ได้รับอำนาจใช้อำนาจนั้นสั่งนักเรียนชาวพุทธไม่ให้ไหว้พระก่อนสอบ
เคยมองในมุมนี้กันบ้างไหม?
———-
พอจะได้ข้อสรุปว่า ถ้ามุสลิมมีอำนาจในที่ใด เขาจะใช้อำนาจลิดรอนสิทธิทางศาสนาของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมในที่นั้นทันที ด้วยข้ออ้างที่-ถ้าคิดชั้นเดียวก็จะเห็นเพียงแค่เป็นการอ้างอยู่ในหลักศาสนาของเขา แต่ถ้าตามไปดูกันชัดๆ ก็จะเห็นว่าผลของการอ้างเช่นนั้นข้ามเขตเข้ามากระทบถึงสิทธิของเราด้วย
จะเห็นได้ว่า อำนาจนี่แหละคือมาตรการที่ศักดิ์สิทธิ์ในการรุกไล่ศาสนาอื่นและสถาปนาศาสนาของตนขึ้นแทน
เวลานี้มีการดำเนินการหลายอย่างโดยพี่น้องมุสลิมเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในทางการเมืองซึ่งเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อใดที่รัฐสภาของไทยมีสมาชิกที่เป็นมุสลิมมากขึ้น ถึงตอนนั้นประเทศไทยจะต้องมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นมุสลิม
อะไรจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย-เชิญจินตนาการกันได้ตามสบาย
———–
ท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้วอาจสงสัยว่า-แล้วเอามาพูดทำไม
เอามาพูดให้หมางใจกันทำไม
ผมบอกไว้ข้างต้นโน้นแล้วว่า-นี่ไม่ใช่เจตนาที่จะชวนให้ทะเลาะกัน แต่เป็นเจตนาที่จะบอกแก่เพื่อนชาวพุทธด้วยกันให้รู้ทันสิ่งที่เราถูกกระทำ
ที่แล้วๆ มาเรามักเพ่งมองไปที่ข้ออ้างของเขาว่า-เขาทำอะไรไม่ได้บ้าง หรือในศาสนาของเขาห้ามอะไรบ้าง
แต่ลืมมองมาที่ตัวเราเองว่า-เพราะข้อห้ามของเขา จึงทำให้เราถูกห้ามอะไรไปบ้าง-เราลืมมองมุมนี้
————
เมื่อไม่นานมานี้มีผู้นำเอาภาพและเรื่องมาโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า –
……..
ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อสองปีก่อนมีการจลาจลนองเลือด ชาวมุสลิมออกมายืนล้อมโบสถ์คริสต์ไม่ให้พวกก่อการจลาจลบุกมาเผา และในเวลาเดียวกัน ชาวคริสต์ก็ออกมาล้อมชาวมุสลิมที่มาปกป้องพวกเขาให้ทำละหมาดอย่างปลอดภัย ภาพนี้แพร่ออกไปทั่วโลกแสดงถึงความรักของมนุษย์ที่ดีพึงกระทำต่อกัน
มุสลิมดีๆ มีอยู่มากมายและรักสันติ ….
ทางภาคใต้หรือแม้กระทั่งเขตหนองจอก มีนบุรี ในกรุงเทพฯ เวลาคนพุทธมีงานวัด มุสลิมเขาก็ช่วยงาน เวลามุสลิมมีงาน คนพุทธเขาก็ช่วยกัน อยู่แบบสังคมมีสุขมาเป็นร้อยปี ที่จังหวัดนนท์ วัดเขมาเกือบจะอยู่ติดกับมัสยิด คนทั้งสองศาสนาก็อยู่ซอยเดียวกันมาเกือบร้อยปี บางบ้านแม่เป็นมุสลิมพ่อเป็นพุทธก็ยังมี เขาก็รักสามัคคีกันทั้งซอย
……..
ที่มา: Pat Hemasuk, ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘
————
ผมเชื่อว่าเรื่องที่ท่านว่ามานั้นเป็นเรื่องจริงพันเปอร์เซ็นต์
แต่เรื่องที่มุสลิมผู้มีอำนาจคนหนึ่งสั่งห้ามไม่ให้ชาวพุทธตั้งโต๊ะหมู่บูชาไหว้พระก็เป็นเรื่องจริงพันเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน
ใครจะแก้แทนก็ได้ ว่านั่นเป็นเรื่องของมุสลิมบ้าอำนาจคนเดียว
ที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส สมัยหนึ่งนายอำเภอเป็นมุสลิม เมื่อท่านย้ายมาท่านก็ไล่พระพุทธรูปและโต๊ะหมู่บูชาออกจากห้องนายอำเภอ
เราคงจำกันได้ว่า เมื่อครั้งที่มุสลิมคนหนึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านก็ไล่พระพุทธรูปเก่าแก่ออกจากห้องทำงานรัฐมนตรี
พระพุทธรูปองค์นั้นประดิษฐานมาตั้งแต่สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
พระพุทธรูปและโต๊ะหมู่บูชาประจำสถานที่ราชการไทยไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของนายอำเภอคนใดๆ หรือของรัฐมนตรีท่านไหนๆ หรือของหัวหน้าส่วนราชการคนไหนทั้งสิ้น แต่เป็นสมบัติส่วนรวมของคนไทย สมบัติของสังคมไทย ตามวัฒนธรรมของไทย
เมื่อสมัยที่ผู้บัญชาการทหารบกท่านหนึ่งเป็นมุสลิม เมื่อไปเยี่ยมหน่วยทหาร การรวมพลฟังโอวาทที่ศาลาหอพระ ต้องเอาผ้าม่านมาขึงบังพระพุทธรูปไว้ เพราะถ้าเห็นพระพุทธรูปอยู่ตรงนั้นมันขัดต่อหลักศาสนาของท่าน
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ไม่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ไม่มีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาตามแบบธรรมเนียมของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรทั่วไป ด้วยข้ออ้างว่ามีมุสลิมเข้ารับพระราชทานและร่วมอยู่ในพิธีด้วย โต๊ะหมู่บูชาและพระสงฆ์สวดมนต์ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม
ในหน่วยทหารกองทัพภาค ๔ อนุศาสนาจารย์เสนอให้จัดพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะสำหรับทหารใหม่ ซึ่งเป็นพิธีที่หน่วยทหารไทยทุกเหล่าทัพจัดเป็นประจำทุกปี ผู้บังคับบัญชาที่นั่นไม่อนุญาตให้จัด ด้วยข้ออ้าง-มีทหารมุสลิมอยู่ด้วย
สรุปว่า ทหารพุทธแสดงตนเป็นพุทธมามกะไม่ได้ เพราะขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม
การกระทำทำนองนี้ยังมีอีกมาก
การปฏิบัติในทำนองเดียวกันเช่นนี้ และอ้างหลักศาสนาเหมือนกันเช่นนี้ เป็นเรื่องของคนบ้าอำนาจคนเดียว??
ท่านที่เอาภาพความจริงที่สวยงามมาพูด ถ้ามีใจเป็นธรรมก็ควรเอาภาพความจริงอีกด้านหนึ่งมาพูดด้วยเช่นกัน
ขอให้สังเกตนะครับว่า ตอนที่มีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้น จะไม่มีใครตำหนิติเตียนผู้กระทำแต่ประการใด (จำได้ว่ากรณีรัฐมนตรีไล่พระออกจากห้องทำงานมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก แต่ลงท้ายก็สรุปว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะทำได้)
แต่ถ้าใครเอาเรื่องนั้นมาพูดภายหลังที่มีการกระทำเกิดขึ้นแล้ว-อย่างที่ผมกำลังเอามาพูดอยู่นี้-จะถูกตำหนิทันทีว่าทำให้เกิดความแตกแยก
เหมือนคนถูกเหยียบเท้า ร้องขึ้นด้วยความเจ็บ ถูกด่า-ว่าเอะอะโวยวาย
แต่ (ไอ้) คนที่มันเหยียบเท้าเขาอยู่นั้น ไม่มีใครว่าอะไรเลย
สุดยอดจะวิปริต
วิธีที่ถูกต้องเป็นธรรมก็คือ จะอ้างข้อห้ามทางศาสนาของท่านก็อ้างไป แต่จงทำอยู่ในเขตศาสนาของท่าน อย่าใช้อำนาจข้ามเขตเข้ามากระทบสิทธิของอีกศาสนาหนึ่ง
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องหยุดนโยบายขยายอำนาจด้วย
————–
เป็นที่ทราบกันว่า ขณะนี้ทางศาสนาอิสลามกำลังขยายมัสยิดให้มีทุกจังหวัด
มัสยิดที่จะสร้างขึ้นทุกจังหวัดนั้นรัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณแผ่นดินสนับสนุนด้วย (ทำให้มีเรื่องพูดต่อไปอีกยาว)
และต่อไปก็จะให้มีคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัด (ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดมีเฉพาะจังหวัดทางภาคใต้บางจังหวัดที่มีประชาชนนับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนมากเท่านั้น)
และต่อไปอีก คณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดจะมีสิทธิ์ มีส่วน มีเสียง ในการบริหารราชการในจังหวัดนั้นๆ ด้วย เช่นเข้าร่วมประชุมเสมือนหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการส่วนหนึ่งของจังหวัด (ในขณะที่ผู้แทนศาสนาพุทธไม่ได้มีส่วนในเรื่องเช่นนี้แต่ประการใดเลย)
ที่จังหวัดราชบุรีบ้านผม มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง เวลามีประชุมหัวหน้าส่วนราชการประจำเดือน ท่านจะจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและนำไหว้พระด้วยตัวเองทุกครั้ง
-ขออนุญาตเอ่ยนามเพื่อเป็นเกียรติ-นายโกเมศ แดงทองดี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี
เป็นที่คาดหมายได้ว่า ต่อไปเมื่อจังหวัดต่างๆ มีผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดเข้าร่วมประชุม การตั้งโต๊ะหมู่บูชาและการไหว้พระก่อนประชุมก็คงจะทำไม่ได้-เพราะขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม-คอยดูกันต่อไปเถิด
ถึงตอนนั้นเมืองไทยจะมีกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ศาสนาอิสลาม แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ลิดรอนสิทธิประโยชน์ของชาวพุทธออกมาอย่างชัดเจน
ก็อย่างที่รู้เห็นกันอยู่ พี่น้องไทยมุสลิมไปแสวงบุญที่เมกกะ รัฐบาลต้องสนับสนุนตั้งแต่ไปจนกลับ
แต่ชาวพุทธไปแสวงบุญที่อินเดีย ไปกันเองกลับกันเอง รัฐบาลไม่รับรู้อะไรด้วย
ใครอยากพิสูจน์น้ำใจ ก็จงลองเสนอร่างกฎหมายให้รัฐบาลสนับสนุนชาวพุทธไปแสวงบุญที่อินเดียดูเถิด รับรองว่าฝุ่นตลบดูไม่จืด
ผมแน่ใจว่าเหตุการณ์ทำนองที่เล่ามานี้ยังจะมีอีก และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
และนโยบายขยายอำนาจก็จะเดินหน้าต่อไป
————–
หน้าที่ของเราชาวพุทธก็คือ รู้ให้ทันและเตรียมตัวให้พร้อม
ไม่ใช่เพื่อจะไปทำอะไรใคร-โปรดอย่าตกใจ
ในโอวาทปาติโมกข์ (ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑๐/๕๔, พุทธวรรค ธรรมบท ๒๕/๒๔) พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า
คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือ –
อนูปวาโท – ไม่ว่าร้ายใส่ร้ายใคร
อนูปฆาโต – ไม่ทำร้ายใคร
และในคัมภีร์พระธรรมบท (โกธวรรค ๒๕/๒๗) ตรัสไว้ว่า
อสาธุํ สาธุนา ชิเน
พึงชนะคนไม่ดี-ความไม่ดี ด้วยความดี
————–
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นพูดก็คือ ช่วงเวลานี้มีการรณรงค์ให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็มีเสียงทักท้วงตามเคยว่า บ้านเมืองเรามีศาสนาอื่นๆ อีกด้วย จะเอาศาสนาอื่นๆ นั้นไปไว้ที่ไหน
ก็คือห่วงว่าศาสนาอื่นๆ จะอยู่ไม่ได้
ขอให้รู้ตัวทั่วกันเถิดว่า ศาสนาที่จะอยู่ไม่ได้ก็คือศาสนาพุทธของเรานี่เอง ถูกเบียด ถูกบัง ถูกลิดรอนสิทธิ์ตามวาระโอกาสต่างๆ โดยที่เราไม่รู้สึกตัวเพราะมัวไปห่วงคนอื่น
การเรียกร้องให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่านอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังมีแต่คนขัดขวางเต็มไปหมด และส่วนใหญ่ก็มาจากชาวพุทธด้วยกันเอง
เป็นสิ่งบอกเหตุที่ชัดเจนว่า นอกจากขาดผู้นำแล้ว เรายังหมดที่พึ่งอีกด้วย
เพราะฉะนั้น อย่าไปขอความช่วยเหลือหรือความเห็นใจจากใครเป็นอันขาด-ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารบ้านเมืองหรือผู้บริหารการพระศาสนา
เห็นใจกันเองและช่วยเหลือกันเอง ดีที่สุด
ด้วยการศึกษาให้รู้ทันความเป็นจริงว่าใครกำลังทำอะไร และอะไรเป็นอะไร
เมื่อรู้แล้ว ต่อจากนั้น ใครสามารถทำอะไรก็จงลงมือทำ
อย่าเสียเวลาไปกับการเรียกร้องและรอให้คนอื่นทำ
แต่จงใช้เวลาไปการศึกษาเรียนรู้ให้รู้ทัน แล้วลงมือทำให้สุดกำลังความสามารถ
บอกได้ จงบอกกันต่อๆ ไป
แนะนำได้ จงแนะนำกันต่อๆ ไป
ทำอะไรได้ จงลงมือทำทันที
และพร้อมกันนั้นก็จงเป็นมิตรกับศาสนิกต่างศาสนาด้วยด้วยใจจริง
บอกกันตรงๆ ว่า เรารังเกียจการกระทำของเขา แต่เราไม่รังเกียจที่จะเป็นมิตรกับเขา-เหมือนกับที่เราเป็นเช่นนั้นมาตลอดเวลาอันยาวนาน
จะห้ามอะไร จะทำอะไรไม่ได้ ก็เชิญว่ากันไปในศาสนาของท่าน
แต่เรามีสิทธิ์ที่จะรู้ทันว่า-การใช้อำนาจข้ามเขตเข้ามาในศาสนาของเราเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม
สำหรับเราชาวพุทธ :
อยู่ร่วมกันฉันมิตร เป็นหน้าที่สำคัญ
มีสติระวังตัวและรู้ทัน เป็นสิทธิอันชอบธรรม
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
๑๕:๔๕
———
ความคิดเห็น
Musa Patani · เป็นเพื่อนกับ Abdul Mana และ คนอื่นอีก 1 คน
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
ผมเป็นมุสลิมน่ะครับ หลายๆเหตุการณ์กลับเป็นสิ่งตรงข้าม ผมจบมัธยมปลายจากโรงเรียนหนึ่งในกรุงเทพฯ ผมยังถูกบังคับสอบนักธรรม เกณฑ์ไปตามงานบุญตามๆ แล้วอย่างนี้ไม่ถูกเรียกว่าอธรรมหรอครับ ตอนนี้ไม่ระบุว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติประเทศก็ทำเหมือนพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแล้วครับ วันหยุดราชการมีบ้างไมที่หยุดตามวัฒนธรรมอื่น ที่ท่านเป็นเคสเล็กๆเอง ในพื้นที่ที่มุสลิมอยู่ถูกรฐกดขี่ตั้งเยอะแยะอย่าม่อ้างแบบนี้เลยครีบั