บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิริยาของพระสงฆ์ระหว่างเจริญพระพุทธมนต์

กิริยาของพระสงฆ์ระหว่างเจริญพระพุทธมนต์

—————————————–

ลูงแดง ป้าอัจ‎ ถึง ทองย้อย แสงสินชัย

19 มิถุนายน 2561 เวลา 8:52 น. · 

อาจารย์มหาทองย้อย..ผมได้ไปร่วมทำบุญวันเกิดผู้คุ้นเคยกัน นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ ผมได้ฟังและดูอากัปกิริยาของพระสงฆ์ทั้งหมดระหว่างเจริญพระพุทธมนต์โยกเยกร่างไปมาตามจังหวะเสียงที่สวดที่แปร่งแปลกน้ำเสียงกระแทกกระทั้นได้ฟังและดูแล้วหมดศรัทธาเหมือนแสดงของลิง ได้สังเกตดูพวกญาติโยมที่ฟังสวดบางคนก็ขำ บางคนหัวเราะไม่เป็นสมาธิ เมื่อสอบถามก็ได้รับคำตอบว่า นี้เป็นการสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์อีกรูปแบบหนึ่ง แต่ผมบอกว่าไปสวดเลียนแบบอิสลาม ก็เกิดไม่พอใจ ขอท่านมหาฯ ช่วยอธิบายด้วยครับ 

……..

รับการบ้านคุณครูครับ แต่ขอเวลาสักอึดใจพระพุทธนะครับ

ทองย้อย แสงสินชัย 

……………………..

เรียนคุณครูที่เคารพ

ตามที่คุณครูได้กรุณาเล่าเรื่องไปฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ทำกิริยาแปลกประหลาด และขอให้กระผมช่วยอธิบาย และกระผมได้ขออนุญาตผัดผ่อนไว้สักอึดใจพระพุทธ นั้น 

บัดนี้ครบกำหนดอึดใจพระพุทธแล้ว กระผมมีข้อพิจารณานำเสนอดังนี้ 

กระผมเคยได้ดูภาพที่เวลานี้นิยมเรียกกันว่า “คลิป” เป็นภาพพระเจริญพระพุทธมนต์ในงานอะไรอย่างหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นงานบุญสามัญ มีพระรูปหนึ่งสวดไปก็ทำกิริยาแปลกประหลาดคล้ายกับที่คุณครูเล่ามา คือขยับตัวโยกเยกไปมา เอียงคอ ส่ายหน้า ขยับปากทำเสียงกระแทกกระทุ้งต่างๆ เหมือนกับที่เรียกกันว่า ของขึ้น อะไรประมาณนั้น แต่ทำกิริยาแปลกประหลาดอยู่รูปเดียว รูปอื่นๆ คงสวดไปตามปกติ 

นึกไปถึงพิธีสวดมนต์ที่เรียกกันว่า สวดภาณยักษ์ กระผมไม่เคยเห็นพิธีที่ว่านี้ ได้ยินแต่คำบอกเล่าว่าพระที่สวดภาณยักษ์ต้องสวดเสียงกระโชกโฮกฮาก เป็นทำนองขู่หรือตวาดให้ยักษ์กลัว เพราะจับเอาคำว่า “ยักษ์” เป็นที่ตั้ง 

หนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต (คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ปยุตตมหาเถระ) ที่คำว่า “ภาณยักษ์” มีข้อความที่น่าสนใจ ขออนุญาตคัดมาเป็นบางตอนดังนี้

……………..

ภาณยักษ์ : บทสวดของยักษ์, คำบอกของยักษ์, สวดหรือบอกแบบยักษ์; เป็นคำที่คนไทยเรียกอาฏานาฏิยสูตร ที่นำมาใช้เป็นบทสวดมนต์ในจำพวกพระปริตร (เป็นพระสูตรขนาดยาวสูตรหนึ่ง นิยมคัดตัดมาเฉพาะตอนที่มีสาระเกี่ยวกับความคุ้มครองป้องกันโดยตรง และเรียกส่วนที่ตัดตอนมาใช้นั้นว่า อาฏานาฏิยปริตร) 

การที่นิยมเรียกชื่อพระสูตรนี้ให้ง่ายว่า “ภาณยักษ์” นั้น เนื่องจากพระสูตรนี้มีเนื้อหาซึ่งเป็นคำกล่าวของยักษ์ คือท้าวเวสสวัณ ที่มากราบทูลถวายคำประพันธ์ของพวกตน ที่เรียกว่า “อาฏานาฏิยา รกฺขา” (อาฏานาฏิยรักขา หรือ อาฏานาฏิยารักข์) แด่พระพุทธเจ้า ดังมีความเป็นมาโดยย่อว่า ยามดึกราตรีหนึ่ง ท้าวมหาราชสี่ (จาตุมหาราช หรือจตุโลกบาล) พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นแล้ว ท้าวเวสสวัณ ในนามของผู้มาเฝ้าทั้งหมด ได้กราบทูลว่า พวกยักษ์ส่วนมากยังทำปาณาติบาต ตลอดจนดื่มสุราเมรัย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้งดเว้นกรรมชั่วเหล่านั้น จึงไม่ชอบใจไม่เลื่อมใส ท้าวมหาราชทรงห่วงใยว่า มีพระสาวกที่ไปอยู่ในป่าดงเงียบห่างไกลอันเปลี่ยวน่ากลัว จึงขอถวายคาถา “อาฏานาฏิยา รกฺขา” ที่ท้าวมหาราชประชุมกันประพันธ์ขึ้น โดยขอให้ทรงรับไว้ เพื่อทำให้ยักษ์พวกนั้นเลื่อมใส เป็นเครื่องคุ้มครองรักษาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้อยู่ผาสุกปลอดจากการถูกเบียดเบียน แล้วท้าวเวสสวัณก็กล่าวคาถาคำอารักขานั้น เริ่มต้นด้วยคำนมัสการพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ มีพระวิปัสสี เป็นต้น 

ครั้นผ่านราตรีนั้นไปแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดแก่ภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่าอาฏานาฏิยารักข์นั้นกอปรด้วยประโยชน์ในการคุ้มครองรักษาดังกล่าวแล้ว และทรงแนะนำให้เรียนไว้ เป็นเครื่องคุ้มครองรักษาพุทธบริษัททั้งสี่ 

ในหนังสือสวดมนต์แบบค่อนข้างพิสดารสมัยก่อน ท่านนำอาฏานาฏิยสูตรมารวมเข้าในชุดบทสวดมนต์นั้นด้วย โดยแบ่งพระสูตรนี้เป็น ๒ ภาค คือ ปุพพภาค กับ ปัจฉิมภาค ยาวเท่ากัน, ปุพพภาคคือตอนแรกที่เป็นคำของยักษ์กราบทูลถวายอาฏานาฏิยารักข์ เรียกว่า ยักขภาณวาร ส่วนปัจฉิมภาคคือตอนหลังที่เป็นพระพุทธดำรัสตรัสเล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย เรียกว่า พุทธภาณวาร  นี้คือที่คนไทยเรียกให้สะดวกปากของตนว่า ภาณยักษ์ และ ภาณพระ ตามลำดับ

ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.๒๔๗๕ เมื่อถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ คือในช่วงตรุษ-สงกรานต์ (ปรับเข้ากับปฏิทินสากลเป็นขึ้นปีใหม่ ๑ เมษายน) ในพระบรมมหาราชวังเคยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดภาณยักษ์ในวันสิ้นปีเก่าตลอดคืนจนรุ่ง โดยสวดทำนองขู่ตวาดภูตผีปีศาจด้วยเสียงโฮกฮากดุดันบ้าง แห้งแหบโหยหวนบ้าง และในสมัย ร.๕ โปรดฯ ให้นิมนต์พระอีกสำรับหนึ่งสวดภาณพระ ด้วยทำนองสรภัญญะที่ไพเราะชื่นใจขึ้นเป็นคู่กัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาราษฎร์ ว่าได้ขับไล่ภัยอันตรายสิ่งร้าย และอวยพรชัยสิริมงคลในกาลเวลาสำคัญแห่งการเปลี่ยนปี

(จบข้อความจากหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ)

……………..

บางทีการสวดมนต์ด้วยกิริยาแปลกๆ ดังที่คุณครูเห็นนั้นอาจจะแตกดอกออกช่อมาจากการสวดภาณยักษ์ก็เป็นได้ 

ในครั้งพุทธกาลมีพระเถระองค์หนึ่งชื่อโสณกุฏิกัณณะ เป็นหนึ่งในพระอสีติมหาสาวก ท่านมีภูมิลำเนาอยู่ทางแถบใต้ของชมพูทวีป เป็นถิ่นที่มีพระสงฆ์น้อย ท่านมีศรัทธาจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ต้องบรรพชาเป็นสามเณรรออยู่ถึง ๓ ปีจึงหาพระได้ครบ ๑๐ รูปทำพิธีอุปสมบทได้

คราวหนึ่ง ท่านเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เมืองสาวัตถี พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตให้พักกับพระองค์ในพระคันธกุฎี ตอนเช้ามืดทรงเชื้อเชิญให้ท่านสวดมนต์คือสาธยายพระสูตรให้ทรงสดับ ท่านสวดด้วยทำนองสรภัญญะ คือใช้เสียงขับเอื้อนแต่พอประมาณ ท่านสวดถวายพระพุทธองค์ทั้งหมด ๑๖ สูตร เข้าใจว่าท่านน่าจะเป็นคน “เสียงดี” เป็นพิเศษ เมื่อสวดจบแล้วพระพุทธองค์ประทานสาธุการว่าสวดดีแท้

ชาววัดที่เป็นนักสวดมนต์ทั้งหลายน่าจะศึกษาเรื่องนี้แล้วถือเอาเป็นต้นแบบในการสวดมนต์ 

การที่มีวิธีสวดมนต์ด้วยสุ้มเสียงและท่าทางพิสดารต่างๆ เข้าใจว่าเดิมทีก็คงคิดทำพอเป็นเครื่องสนองศรัทธาของญาติโยมบางจำพวกที่มีความเชื่อในวิธีสวดบางวิธี ซึ่งเมื่อได้ฟังพระสวดแบบนั้นก็มีความสบายใจว่าได้ทำตามพิธีที่ตนเชื่อแล้ว ญาติโยมประเภทนี้ย่อมมีอยู่ทั่วไป

ต่อมาก็คงมีพระบางสำนักคิดแบบสวดแปลกๆ ขึ้น เจตนาเดิมที่จะทำเพียงสนองศรัทธาก็ค่อยๆ กลายไปเป็นเสริมสนองความเชื่อ สนองกันไปสนองกันมาก็อาจจะเข้าไปพัวพันกับลาภสักการะโดยไม่ทันระวัง เกิดเป็นคณะหรือเป็นชุดสวดมนต์พิเศษ รับฉลองศรัทธาทั่วราชอาณาจักร ดังที่กระผมเคยเห็นในคลิปและดังที่คุณครูไปเห็นมา 

ที่ว่ามานี้ก็เป็นแต่เพียงคิดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจะเอาหลักก็คงต้องวางใจเป็นกลางพร้อมไปกับรู้เท่าทันว่าใครกำลังทำอะไรเพื่ออะไร เมื่อรู้เท่าทันแล้วก็ตัดปัญหาได้ คือไม่ไปสนับสนุนใครและไม่ไปขัดแย้งกับใคร กำหนดท่าทีของตนตามฐานะที่ควรทำ 

กระผมเชื่อว่า ด้วยวิธีเช่นนี้ เราคงจะพออยู่ในสังคมที่หลากหลายและสับสนนี้ได้อย่างมีความสงบสุขสมควรแก่อัตภาพ 

ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับผม

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๑

๑๕:

————-

ลูงแดง ป้าอัจ‎ ถึง ทองย้อย แสงสินชัย

19 มิถุนายน 2561 เวลา 8:52 น. · 

อาจารย์มหาทองย้อย..ผมได้ไปร่วมทำบุญวันเกิดผู้คุ้นเคยกัน นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ ผมได้ฟังและดูอากัปกิริยาของพระสงฆ์ทั้งหมดระหว่างเจริญพระพุทธมนต์โยกเยกร่างไปมาตามจังหวะเสียงที่สวดที่แปร่งแปลกน้ำเสียงกระแทกกระทั้นได้ฟังและดูแล้วหมดศรัทธาเหมือนแสดงของลิง ได้สังเกตดูพวกญาติโยมที่ฟังสวดบางคนก็ขำ บางคนหัวเราะไม่เป็นสมาธิ เมื่อสอบถามก้ได้รับคำตอบว่า นี้เป็นการสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์อีกรุปแบบหนึ่ง แต่ผมบอกว่าไปสวดเลียนแบบอิสลาม ก็เกิดไม่พอใจ ขอท่านมหาฯช่วยอธิบายด้วยครับ 

ทองย้อย แสงสินชัย 

รับการบ้านคุณครูครับ แต่ขอเวลาสักอึดใจพระพุทธนะครับ

ไร้ยศฐาศักดินาใด แต่ไม่ไร้คุณค่าความเป็นคน 

โยมอาจารย์อารมณ์ขันดีเหลือเกิน

ขอเวลาแค่อึดใจพระพุทธ

ลูงแดง ป้าอัจ 

ขอบคุณครับ อย่าให้ถึง อึดใจอัลเลาะฮ์(ซอลล์)นะครับ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *