กิจวัตรกับกิจกรรม

อย่าเพลินกิจกรรมจนลืมทำกิจวัตร
———————————–
ก่อนจะถึงวันวิสาขบูชา มีข่าวเกี่ยวกับการเตรียมจัดกิจกรรมต่างๆ กันเอิกเกริก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อวานเป็นวันวิสาขบูชา
วันนี้กิจกรรมต่างๆ ก็สงบจบเงียบไปเรียบร้อย
วัดทางบ้านผมจัดกิจกรรมวิสาขบูชา ๓ วัน ผมก็ไปร่วมทั้ง ๓ วัน
เมื่อคืนก็ไปเวียนเทียนเหมือนกับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ว่ากันตามตรง ผมไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับการเวียนเทียนวันวิสาขบูชา
ไม่ใช่เพราะอายุมากแล้ว แต่เป็นเพราะผมเวียนเทียนเกือบจะทุกวันอยู่แล้ว
วันไหนไปวัด-ซึ่งก็ไปเกือบทุกวัน-ก่อนกลับผมก็ทำประทักษิณพระมหาธาตุ ที่เรียกกันว่า “เวียนเทียน” นั่นเอง
ก่อนวันวิสาขบูชาผมก็เวียน
หลังวิสาขบูชาก็เวียน
เวียนเป็นกิจวัตร ไม่ใช่เวียนตามที่จัดกิจกรรม
เคยคิดกันไหมครับว่า เดี๋ยวนี้เราเอากิจวัตรมาทำเป็นกิจกรรมกันเสียหมด
กิจกรรมใส่บาตร
กิจกรรมปฏิบัติธรรม
ฯลฯ
ฯลฯ
กิจวัตรคือทำเป็นประจำ
กิจกรรมคือทำตามโอกาส
เช่นโอกาสวิสาขบูชา มาฆบูชา หรือวันสำคัญอะไรอีกที่กำหนดกันขึ้น
เมื่อยกเอาไปทำตามโอกาสเสียแล้ว ก็มักจะไม่ได้ทำเป็นกิจวัตร
การปฏิบัติกิจในพระศาสนานั้นท่านมุ่งจะให้ทำเป็นกิจวัตร
เช่น ใส่บาตรเป็นกิจวัตร
สวดมนต์เป็นกิจวัตร
ปฏิบัติจิตภาวนาเป็นกิจวัตร ฯลฯ
กิจเหล่านี้แต่เดิมชาวพุทธทำกันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
ไม่ต้องเอาไปจัดเป็นกิจกรรมที่ไหนเลย เพราะทำอยู่แล้วทุกวัน
พอคนสมัยใหม่เอาวิธีจัดกิจกรรมมาใช้ เราก็พลอยนิยมชมชอบกันไปด้วย
แต่ผลพลอยเสียก็เกิดตามมาด้วยโดยที่อาจจะไม่รู้สึก
การกำหนดให้มี “วัน” ต่างๆ ขึ้นมา ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดกิจกรรมที่นิยมกันมากในสังคมของเรา
วันพ่อ วันแม่ วันครู วันภาษาไทย ฯลฯ
แล้วเราก็เฮโลสาระพาให้ความสำคัญแก่สิ่งสำคัญของวันนั้นๆ กันอย่างเต็มที่
วันพ่อ ก็แสดงความรักพ่อกันสุดชีวิต
วันแม่ ก็รักแม่สุดหัวใจ
วันครู ก็เคารพคุณครูสุดจิต
วันภาษาไทย ก็สนใจภาษาไทยกันเป็นการใหญ่
แต่ทั้งหมดนี้ทำกันเพียงแค่วันเดียว
รักพ่อวันเดียว
รักแม่ก็วันเดียว
ฯลฯ
ท่านอาจจะบอกว่า พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ภาษาไทย ฯลฯ เรารักทุกวัน ไม่ใช่รักวันเดียว
ถ้ารักทุกวันอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอามาจัดเป็นกิจกรรม
ถ้าบอกว่าจัดเป็นกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญ
ก็เท่ากับฟ้องอยู่ในตัวว่า ปกติไม่ได้เห็นความสำคัญ
เพราะถ้าเห็นความสำคัญอยู่แล้ว จะต้องมากระตุ้นเตือนทำไมอีก
ถ้าบอกว่าเพราะคนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ จึงต้องเอามาจัดเป็นกิจกรรม
ก็ควรจะต้องวิเคราะห์กันละครับว่า ทำไมคนสมัยนี้จึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของพ่อ ของแม่ ของครู ฯลฯ
ถ้าพบสาเหตุว่าเป็นเพราะไม่ได้จัดกิจกรรม
การจัดกิจกรรมก็นับว่าแก้ถูกจุด
แต่ถ้าสาเหตุมาจากทางอื่น ก็ต้องไปแก้ที่สาเหตุที่แท้จริง ไม่ใช่แก้ด้วยการจัดกิจกรรม
จะจัดกิจกรรมอะไร ผมก็ไม่รังเกียจหรอกครับ
แต่ไม่ควรจัดเป็นกิจกรรม จนลืมทำเป็นกิจวัตร
สิ่งที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้ ก็คือกิจวัตร
กิจกรรมเป็นเพียงส่วนเสริม
ทำกิจวัตร แม้ไม่จัดกิจกรรม พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้และดำเนินไปได้
ถ้าจัดแต่กิจกรรม แต่ไม่ทำกิจวัตร หรือทำแบบกะพร่องกะแพร่ง
พระศาสนาก็ไปไม่รอด
ถึงรอด ก็รอดแต่เปลือก แต่ไม่มีเนื้อใน
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗