พรหมลูกฟัก (บาลีวันละคำ 4,777)

พรหมลูกฟัก
คือพรหมแบบไหน
“พรหมลูกฟัก” อ่านว่า พฺรม-ลูก-ฟัก
“พรหม” เป็นคำบาลี
“ลูกฟัก” เป็นคำไทย
(๑) “พรหม”
เขียนแบบบาลีเป็น “พฺรหฺม” (โปรดสังเกตว่า เขียนแบบบาลีมีจุดใต้ พ พาน และ ห หีบ) รากศัพท์มาจาก พฺรหฺ (ธาตุ = เจริญ, ประเสริฐ) + ม ปัจจัย
: พฺรหฺ + ม = พฺรหฺม แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เจริญด้วยคุณ” ใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) ความดีประเสริฐสุด (the supreme good)
(2) คัมภีร์พระเวท, สูตรลึกลับ, คาถา, คำสวดมนต์ (Vedic text, mystic formula, prayer)
(3) เทพผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนาพราหมณ์ ถือกันว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล (the god Brahmā chief of the gods, often represented as the creator of the Universe)
(4) เทวดาพวกหนึ่งที่อยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสูงที่เรียกว่า พรหมโลก (a brahma god, a happy & blameless celestial being, an inhabitant of the higher heavens [brahma-loka])
(5) สิ่งศักดิ์สิทธิ์, คนศักดิ์สิทธิ์ (holy, pious, a holy person)
ในแง่ตัวบุคคล คำว่า “พฺรหฺม” หมายถึง –
(1) เทพสูงสุดหรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์
(2) เทพในพรหมโลก เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม มี 2 พวกคือ รูปพรหม มี 16 ชั้น อรูปพรหม มี 4 ชั้น
(3) ผู้ประเสริฐด้วยคุณธรรม 4 ประการ คือ เมตตา (ปรารถนาให้อยู่เป็นปกติสุข) กรุณา (ตั้งใจช่วยเพื่อให้พ้นจากปัญหา) มุทิตา (ยินดีด้วยเมื่อมีสุขสมหวัง) อุเบกขา (วางอารมณ์เป็นกลางเมื่อได้ทำหน้าที่ถูกต้องครบถ้วนแล้ว)
ในภาษาไทยใช้เป็น “พรหม” อ่านว่า พฺรม ไม่อ่านว่า พฺรำ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“พรหม, พรหม– : (คำนาม) ชื่อพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกตามศาสนาพราหมณ์, เทพในพรหมโลก จำพวกมีรูป เรียก รูปพรหม มี ๑๖ ชั้น จำพวกไม่มีรูป เรียก อรูปพรหม มี ๔ ชั้น ตามคติพระพุทธศาสนา, ในบทกลอนใช้ว่า พรหมัน พรหมา พรหมาน หรือ พรหมาร ก็มี; ผู้มีพรหมวิหารทั้ง ๔ (เช่น บิดามารดามีพรหมวิหารทั้ง ๔ ต่อบุตร ได้ชื่อว่า เป็นพรหมของบุตร). (ป., ส. พฺรหฺม).”
(๒) “ลูกฟัก”
เป็นคำไทย หมายถึง “ฟัก” แต่เรียกเป็น “ลูกฟัก”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ฟัก ๑ : (คำนาม) ชื่อไม้เถาชนิด Benincasa hispida (Thunb.) Cogn. ในวงศ์ Cucurbitaceae ผลใหญ่รูปกลมหรือรี เมื่อแก่ผิวแข็งมีคราบขาว กินได้ เมล็ดใช้ทำยา มีหลายพันธุ์ ต่างกันที่ลักษณะของผล, พันธุ์ผลเล็ก ผิวบางมีขน เรียก แฟง, พันธุ์ที่ผลมีรสขม ใช้ทำยาได้ เรียก ฟักขม.”
คนแต่ก่อนเรียนรู้กันว่า มีเทพจำพวกพรหมประเภทหนึ่ง มักอยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหว จึงเรียกกันว่า “พรหมลูกฟัก” หมายความว่า นอนกลิ้งอยู่เหมือนฟักแฟง ไม่มีจิตใจที่จะรับรู้อารมณ์ใด ๆ
ขยายความ :
โปรดทราบว่า ลักษณะที่ว่า “นอนกลิ้งอยู่เหมือนฟักแฟง ไม่มีจิตใจที่จะรับรู้อารมณ์ใด ๆ” นั้น ไม่ใช่ลักษณะของพรหมทุกชั้นทุกประเภท ดังจะให้เข้าใจว่า ถ้าเป็นพรหมละก็จะต้องนอนกลิ้งอยู่เหมือนฟักแฟง ไม่มีจิตใจที่จะรับรู้อารมณ์ใด ๆ เหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนี้
“พรหม” มี 2 จำพวก คือ รูปพรหม และ อรูปพรหม
รูปพรหม มี 16 ชั้น (เรียกว่า รูปโลก) คือ –
1. พรหมปาริสัชชา
2. พรหมปุโรหิตา
3. มหาพรหมา
4. ปริตตาภา
5. อัปปมาณาภา
6. อาภัสสรา
7. ปริตตสุภา
8. อัปปมาณสุภา
9. สุภกิณหา
10. อสัญญีสัตตา
11. เวหัปผลา
12. อวิหา
13. อตัปปา
14. สุทัสสา
15. สุทัสสี
16. อกนิฏฐา;
อรูปพรหม มี 4 ชั้น (เรียกว่า อรูปโลก) คือ –
1. อากาสานัญจายตนะ
2. วิญญาณัญจายตนะ
3. อากิญจัญญายตนะ
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
…………..
พรหมประเภทที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหว เรียกกันว่า “พรหมลูกฟัก” มีประเภทเดียว คือ “อสัญญีสัตตา” (ประเภทที่ 10 ในจำพวกรูปพรหม)
“อสัญญีสัตตา” แปลว่า “สัตว์ผู้ไม่มีความรู้สึก”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อสญฺญีสตฺตา” ว่า unconscious beings Name of a class of Devas (พวกสัตว์ที่ปราศจากความรู้สึก, ชื่อของเทวดาจำพวกหนึ่ง)
คำว่า “อสัญญีสัตตา” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้เป็น “อสัญญีสัตว์” บอกไว้ดังนี้ –
“อสัญญีสัตว์ : (คำนาม) พรหมพวกหนึ่งมีรูปแต่ไม่มีสัญญา ดังมีกล่าวไว้ในไตรภูมิกถา. (ป. อสญฺญีสตฺต).”
ที่พจนานุกรมฯ บอกว่า “ดังมีกล่าวไว้ในไตรภูมิกถา” นับว่าอ้างหลักฐานที่มายังไม่ถึงที่สุด เพราะ “อสัญญีสัตว์” หรือ “อสัญญีสัตตา” นั้น มีกล่าวไว้ในคัมภีร์บาลี และไตรภูมิกถาก็เอาไปจากคัมภีร์บาลี
คัมภีร์สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภังคปกรณ์ อธิบายลักษณะของพรหม “อสัญญีสัตว์” หรือ “อสญฺญสตฺตา” ไว้ดังนี้ –
(ในที่นี้ยกคำบาลีมากำกับไว้ด้วยเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบกับคำแปล ท่านที่ไม่ถนัดคำบาลีขอให้อ่านเฉพาะคำแปลภาษาไทย แต่จะอ่านคำบาลีด้วยโดยตั้งอารมณ์ว่ากำลังอ่านบทสวดมนต์ ก็จะยิ่งเป็นบุญเช่นเดียวกับสวดมนต์นั่นแล(
…………..
อสญฺญสตฺตานนฺติ สญฺญาวิรหิตสตฺตานํ ฯ
คำว่า อสญฺญสตฺตานํ ได้แก่ สัตว์ที่ปราศจากสัญญา (คือไม่มีความรู้สึก)
เอกจฺเจ หิ ติตฺถายตเน ปพฺพชิตฺวา จิตฺตํ นิสฺสาย รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนานิ นาม โหนฺตีติ จิตฺเต โทสํ ทิสฺวา
จริงอยู่ สมณพราหมณ์บางพวกบวชในลัทธิต่างๆ เห็นโทษในจิตว่า เพราะอาศัยจิต ชื่อว่าความยินดี ความยินร้าย และความหลงใหลจึงเกิดมี ดังนี้
อจิตฺตกภาโว นาม โสภโณ ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานเมตนฺติ สญฺญาวิราคํ ชเนตฺวา
แล้วจึงยังสัญญาวิราคะ (ความหมดยินดีในความรู้สึกตัวหรือความจำได้หมายรู้) ให้เกิด กำหนดใจว่า ชื่อว่าความเป็นผู้ไม่มีจิตเป็นสิ่งที่ดีงาม และนั่นเป็นนิพพานในปัจจุบันทันตาเห็น ดังนี้
ตตฺรูปคํ สมาปตฺตึ ภาเวตฺวา ตตฺถ นิพฺพตฺตนฺติ
แล้วเจริญสมาบัติเข้าถึงสัญญาวิราคะนั้น จึงไปบังเกิดในภพที่ไม่มีสัญญานั้น
เตสํ อุปปตฺติกฺขเณ เอโก รูปกฺขนฺโธเยว นิพฺพตฺตติ ฯ
ในขณะที่พรหมเหล่านั้นเกิด รูปขันธ์อย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น
ฐตฺวา นิพฺพตฺโต ฐิตโกว โหติ
พรหมเหล่านั้น เมื่อยืนเกิด ก็ย่อมยืนอยู่ท่านั้นแหละ
นิสีทิตฺวา นิพฺพตฺโต นิสินฺโนว
เมื่อนั่งเกิด ก็ย่อมนั่งอยู่ท่านั้นแหละ
นิปชฺชิตฺวา นิพฺพตฺโต นิปนฺโนว ฯ
เมื่อนอนเกิด ก็ย่อมนอนอยู่ท่านั้นแหละ
จิตฺตกมฺมรูปกสทิสา หุตฺวา ปญฺจ กปฺปสตานิ ติฏฺฐนฺติ ฯ
เป็นดังเช่นรูปจิตรกรรม ดำรงอยู่ในภพนั้นตลอด 500 กัป
เตสํ ปริโยสาเน โส รูปกาโย อนฺตรธายติ
ในที่สุดแห่ง (อายุของ) พรหมเหล่านั้น รูปกายนั้นย่อมอันตรธานไป
กามาวจรสญฺญา อุปฺปชฺชติ
กามาวจรสัญญาย่อมเกิดขึ้น
เตน อิธ สญฺญุปฺปาเทน เต เทวา ตมฺหา กายา จุตาติ ปญฺญายนฺติ ฯ
เพราะเหตุที่มีกามาวจรสัญญาเกิดขึ้นนั้น พรหมเหล่านั้นเมื่อเคลื่อนจากรูปกายนั้นแล้วย่อมมีปรากฏขึ้นในโลกนี้ ดังนี้
ที่มา: สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภังคปกรณ์ หน้า 836
…………..
“อสัญญีสัตตา” หรือ “อสัญญีสัตว์” นี้ คำคนเก่าท่านเรียกว่า “พรหมลูกฟัก” หมายความว่า นอนกลิ้งอยู่เหมือนฟักแฟง ไม่มีจิตใจที่จะรับรู้อารมณ์ใด ๆ
ขอย้ำว่า ที่เรียกว่า “พรหมลูกฟัก” นั้น เรียกเฉพาะพรหม “อสัญญีสัตว์” หรือ “อสัญญีสัตตา” เท่านั้น ไม่ใช่ว่าพรหมทุกชั้นทุกประเภทจะต้องเป็น “พรหมลูกฟัก” นอนกลิ้งอยู่เหมือนฟักแฟง ไม่มีจิตใจที่จะรับรู้อารมณ์ใด ๆ เหมือนกันทั้งหมด
โปรดเข้าใจให้ถูกต้อง และถ่ายทอดให้ถูกต้องด้วยจะเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง
…………..
ดูก่อนภราดา!
: พูดผิด พูดใหม่ได้
: พูดผิด ไม่พูดใหม่ให้ถูก ใช้ไม่ได้
#บาลีวันละคำ (4,777)
11-7-68
…………………………….
…………………………….