บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความเรื่อง ยามดีท่านใช้ ยามไข้ท่านทิ้ง

ยามดีท่านใช้ ยามไข้ท่านทิ้ง (๒)

——————————

หรือ-เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

หรือ-สุนัขไล่เนื้อ

………………….

เมื่อวันเผาพี่ชายผม (พุธ ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ วัดนิคมราษฎร์รังสรรค์ อำเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) คนของทางราชการที่ไปร่วมพิธีก็มีเจ้าหน้าที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นผู้ดูแล กับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นผู้รักษา

ไม่มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตามหลักการแล้วควรจะเป็น “เจ้าของเรื่อง”

ไม่มีพระสังฆาธิการระดับอำเภอหรือจังหวัด ซึ่งตามหลักการแล้วควรจะเป็น “เจ้าภาพ”

อันนี้จะว่าอะไรกันก็คงไม่ได้ เพราะเมื่อพี่ชายผมเข้าไปอยู่ในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งประจวบคีรีขันธ์แล้วก็เป็นอันขาดจากความรับผิดชอบของ พศ.จังหวัด และขาดจากความรับผิดชอบของคณะสงฆ์

และถ้าจะอ้างฐานะ “คนเคยอยู่ด้วยกัน” ทั้ง พศ.จังหวัด และคณะสงฆ์ สามารถอ้างได้เต็มปากว่า-ไม่เห็นมีใครแจ้งให้ทราบ

นั่นก็คือ ถ้ามีคนแจ้งไป ท่านก็คงมีน้ำใจมาร่วมทำอะไรๆ ด้วย

ตรงนี้แหละครับคือประเด็นที่ผมอยากพูดความในใจ

นั่นก็คือ เราควรจะเลิกกันได้แล้ว-ระบบนั่งรอรายงาน

เวลานี้หน่วยงานทั้งของทางราชการและทางคณะสงฆ์ ใช้ระบบเดียวกัน คือนั่งรอรายงาน ประโยคที่พูดกันติดปากคือ “ยังไม่เห็นเรื่อง”

เรื่องที่เขารู้กันทั่วโลกแล้ว แต่ของเรายังต้องรอให้ “เห็นเรื่อง” ก่อนจึงจะรับรู้และคิดทำอะไรได้

ในตอนก่อน ผมบอกว่า พศ. ต้องปฏิวัติหลักการทำงานใหม่ทั้งหมด

ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระเณร พศ. ต้องเป็นเจ้าภาพเอง ไม่ใช่ให้วัดหรือให้พระเณรเป็นเจ้าภาพ แล้ว พศ.นั่งรอรายงาน

…………………..

คราวหนึ่งวัดมหาธาตุ ราชบุรี มีภารกิจเกี่ยวกับ พศ.จังหวัด คืองานของ พศ.จังหวัด แต่ไปจัดที่วัด

ปรากฏว่าวัดต้องจัดสถานที่เอง (แน่นอน ในฐานะเจ้าของบ้าน ก็ต้องทำ) พอก่อนเวลาจะเริ่มพิธี ผอ.พศ.จังหวัดท่านจึงปรากฏตัว มาถึงก็ทำท่าขยับเก้าอี้ ขยับโต๊ะ เหมือนกับว่าในฐานะเจ้าของงานก็ต้องทำอะไรสักหน่อย

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านบอกว่า ท่าน ผอ.ไม่ต้องหรอก ไปนั่งรอเจ้านายเถอะ

ไม่รู้ว่าฟังภาษาประชดออกหรือเปล่า

…………………..

ผมเคยได้ยินเจ้าหน้าที่บางคนเผลอพูดว่า “ยังไม่เห็นส่งเรื่องขึ้นมา” นี่คือรู้สึกว่าตัวเองอยู่ข้างบน วัดหรือพระเณรอยู่ข้างล่าง คนข้างล่างมีหน้าที่ส่งรายงานขึ้นไปให้คนข้างบน

ตรงนี้แหละครับที่สมควรปฏิวัติใหม่

มีปรัชญาการทำงานแบบใหม่

สร้างวิสัยทัศน์ใหม่

พศ. คือหน่วยงานรับใช้วัด

ไม่ใช่หน่วยงานใช้วัด

ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระเณร พศ.ต้องออกไปดูออกไปทำออกไปจัดการ แล้วรายงานให้วัดให้พระเณรทราบ

เช่น-มีพระมรณภาพสักรูปหนึ่ง พศ.ต้องรู้ก่อนใคร

แทนที่จะรอให้วัดแจ้ง พศ. แบบระบบเก่า พศ.นั่นเองกลับจะต้องเป็นฝ่ายแจ้งให้วัดทราบ และเตรียมการเพื่อเป็นเจ้าภาพเต็มตัว

จะทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องปฏิวัติระบบการทำงานใหม่ นั่นคือ พื้นที่ปฏิบัติงานต้องอยู่ที่วัด ไม่ใช่นั่งในห้องแอร์ที่สำนักงาน

คนของ พศ. คงนึกภาพไม่ออกว่าทำไมฉันจะต้องไปทำแบบนั้นด้วย

นั่นก็เพราะถูกครอบงำด้วยค่านิยมเดิม

ข้าราชการคือเจ้าคนนายคน มีหน้าที่นั่งอยู่ในออฟฟิศ รอให้ประชาชนเดินขึ้นมากราบ

ว่าโดยเนื้องานแล้ว ลักษณะงานของ พศ. นั้นเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นต้นแบบในการปฏิวัติระบบการทำราชการ นั่นคือ เนื้องานอยู่ที่วัด อยู่กับพระเณร ผู้ทำงานรับใช้ช่วยทำกิจของพระศาสนาสมควรมีวัดเป็นสนามปฏิบัติการ

ไม่ได้แปลความตามตัวหนังสือว่าต้องไปกินไปนอนที่วัด ไปนั่งทำงานที่วัด

แต่หมายความว่า หลักการก็คือเมื่อมีกิจใดๆ เกี่ยวกับวัดเกี่ยวพระเณรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของ พศ.จะเป็นคนแรกที่เข้าถึงพื้นที่หรืออยู่ในที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครรายงาน ไม่ต้องรอฟังบรรยายสรุปจากใคร ตรงกันข้ามกลับจะต้องเป็นฝ่ายบรรยายสรุปให้วัดให้พระและให้คนอื่นฟังเสียด้วยซ้ำ

พูดให้เห็นภาพชัดๆ –

พระในวัดมรณภาพ

เจ้าหน้าที่ พศ. รู้เรื่องก่อนเจ้าอาวาสเสียอีก

เป็นฝ่ายแจ้งเจ้าอาวาส-ซึ่งกำลังอยู่ในวัดนั่นเองด้วยซ้ำ

แจ้งผู้เกี่ยวข้องครบถ้วน

กำหนดแผนการจัดการศพ-เหมือนตนเองเป็นเจ้าภาพ-เสร็จเรียบร้อย

นี่ยกตัวอย่างกรณีพระมรณภาพเรื่องเดียว

เรื่องอื่นๆ ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือคนของ พศ. เข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงตัวสถานการณ์ เข้าถึงตัวภารกิจก่อนวัดก่อนพระเณร ก่อนชาวบ้าน

ฟังเหมือนนิยาย แต่ทำได้ถ้าใจถึงงาน

แน่นอน ปรัชญาการทำงานแบบใหม่ที่ผมวาดฝันนี้ คนของ พศ. ต้องเหนื่อยมาก

ปัญหาคนไม่พอกับงานเป็นปัญหาใหญ่

พศ. อ้างได้ทีเดียวว่า คนของ พศ.จังหวัดมีหยิบมือเดียว ต้องดูแลวัดทั้งจังหวัด จะให้ทำยังไง

ก็เหมือนทหารนั่นแหละ กำลังรบไม่พอ แต่ต้องรบ จะแก้ปัญหาอย่างไร วัดกึ๋นกันตรงนี้

ทำงานให้สังคมเห็นประจักษ์ว่า ปริมาณงานพระศาสนามีมากมายมหึมา แต่ขนาดของหน่วยงานเล็กนิดเดียว กำลังคนน้อย ไม่สมกับเนื้องาน

ถึงตอนนั้นสังคมจะบอกเองว่า ประเทศไทยสมควรต้องมีกระทรวงพระพุทธศาสนา

คนไม่ต้องเรียกร้อง

เนื้องานที่ทำให้คนเห็นจะทำหน้าที่เรียกร้องเอง

ถ้าคนของ พศ. พร้อมใจกันนับหนึ่งทั่วประเทศ ก็จะมีคนนับสอง นับสาม ตามมา กระทรวงพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นได้จริงๆ

คงมีคนอยากบอกว่า พูดง่าย แต่ทำยาก

ใช่ครับ แต่ “ทำยาก” กับ “ไม่คิดจะทำ” เป็นคนละอย่างกันนะครับ

……………

ไปจัดการศพพี่ชายที่ประจวบฯ คราวนี้ มีเหตุกระทบใจ ๒ เรื่อง ยังไม่ได้เล่า ผัดไว้ตอนหน้าครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๙ สิงหาคม ๒๕๖๓

๑๙:๐๐

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *