บทความเรื่อง ผู้ล่วงพ้นความกลัวตาย
————————-
ข้อมูลที่สอง:
หลักวิชาในพระพุทธศาสนาที่แสดงถึง “ผู้ล่วงพ้นความกลัวตาย” หรือที่ตั้งเป็นคำถามว่า ใครบ้างที่ไม่กลัวตาย ที่นำมาแสดงแล้วนั้นเป็นพระพุทธพจน์ที่มีมาในพระไตรปิฎกโดยตรง
ต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่มาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา
มีพระพุทธพจน์ในคัมภีร์พระธรรมบท (ทัณฑวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๒๐) ความว่า –
สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส
สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา
น หเนยฺย น ฆาตเย.
สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สัตว์ทั้งหมดกลัวความตาย
เปรียบตนเองกับผู้อื่นอย่างนี้แล้ว
ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า
(คำแปลจาก-พุทธวจนะในธรรมบท สำนวนอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๕ (ฉพฺพคฺคิยภิกฺขุวตฺถุ เรื่องที่ ๑๐๗) อธิบายคำว่า “สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน” (สัตว์ทั้งหมดกลัวความตาย) ว่า แม้พระพุทธพจน์จะตรัสว่า “สพฺเพ = สัตว์ทั้งหมด” แต่ก็มีนัยที่ละไว้ฐานเข้าใจ
นั่นคือ ไม่ใช่หมายความว่า “ทั้งหมด” ตามตัวอักษร เพราะมีบางจำพวกที่ไม่กลัวตาย ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ยกเว้น
คัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถาดังกล่าวแสดงรายการ “สัตว์” ที่ไม่กลัวตายไว้ ๔ จำพวก คือ –
๑ หตฺถาชาเนยฺโย = ช้างอาชาไนย
๒ อสฺสาชาเนยฺโย = ม้าอาชาไนย
๓ อุสภาชาเนยฺโย = โคอุสภอาชาไนย
๔ ขีณาสโว = พระขีณาสพ
ท่านให้เหตุผลไว้ว่า ช้าง-ม้า-โคอาชาไนย ๓ จำพวกนี้มีอหังการสูงสุด มองไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนมาต่อกรกับตนได้ จึงไม่กลัวสัตว์ชนิดไหนทั้งสิ้น เมื่อสู้กันก็ยอมสู้จนตัวตาย
เรียกได้ว่ามันกลัวความเป็น “อาชาไนย” ของมันจะถูกเหยียบย่ำให้ต่ำต้อยมากกว่าที่จะกลัวตาย
เพราะฉะนั้น จึงนับว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นจำพวกไม่กลัวตาย
คงจะคล้ายๆ กับที่พูดกันว่า-ทหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกลัวสมเด็จพระนเรศวรมากกว่ากลัวความตาย
ส่วนพระขีณาสพ-ซึ่งหมายถึงพระอรหันต์-ไม่กลัวตาย เพราะท่านละความเป็นตัวกูของกูได้หมดแล้ว
เห็นใครตาย ท่านก็ไม่ได้เห็นมี “ใคร” ตาย นอกจากความสลายตัวของธาตุขันธ์ เท่ากับท่านไม่ได้เห็นว่ามี “ความตาย” อยู่ที่ไหนนั่นเอง
เมื่อความตายไม่ได้มีอยู่จริงตามสัจธรรมที่เห็นประจักษ์ ท่านก็จึงไม่กลัวตาย
………………….
ท่านผู้ใดจะมีแก่ใจช่วยขยายความเพิ่มเติม ก็ขอเรียนเชิญนะครับ – เช่น ช้าง-ม้า-โคอาชาไนย
คำว่า “อาชาไนย” หมายความว่าอย่างไร
………….
ตอนต่อไป … ใครบ้างที่ไม่กลัวตาย : ข้อมูลที่สาม
๓ มีนาคม ๒๕๖๓
๑๗:๒๕
Sueb Lim
———–
ประโยค๓ – ธมฺมปทฏฺฐกถา (ปญฺจโม ภาโค) – หน้าที่ 44
๑๐. ทณฺฑวคฺควณฺณนา
๑. ฉพฺพคฺคิยภิกฺขุวตฺถุ. (๑๐๗)
” สพฺเพ ตสนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต
ฉพฺพคฺคิเย ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิ.
เอกสฺมึ หิ สมเย, สตฺตรสวคฺคิเยหิ เสนาสเน ปฏิชคฺคิเต,
ฉพฺพคฺคิยา ภิกฺขู ” นิกฺขมถ, มยํ มหลฺลกตรา, อมฺหากํ เอตํ
ปาปุณาตีติ วตฺวา, เตหิ ” น มยํ ทสฺสาม, อมฺเหหิ ปฐมํ ปฏิชคฺคิตนฺติ
วุตฺเต, เต ภิกฺขู ปหรึสุ. สตฺตรสวคฺคิยา มรณภยตชฺชิตา มหาวิรวํ
วิรวึสุ. สตฺถา เตสํ สทฺทํ สุตฺวา ” กึ อิทนฺติ ปุจฺฉิตฺวา,
” อิทนฺนามาติ อาโรจิเต, ” น ภิกฺขเว อิโต ปฏฺฐาย
ภิกฺขุนา นาม เอวํ กตฺตพฺพํ, โย กโรติ, อิทนฺนาม อาปชฺชตีติ
ปหารทานสิกฺขาปทํ ปญฺญาเปตฺวา ” ภิกฺขเว ภิกฺขุนา นาม `ยถา
อหํ; ตเถว อญฺเญปิ ทณฺฑสฺส ตสนฺติ มจฺจุโน ภายนฺตีติ ญตฺวา
ปโร น ปหริตพฺโพ น ฆาเตตพฺโพติ วตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา
ธมฺมํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห
” สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส, สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน,
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเยติ.
ตตฺถ สพฺเพ ตสนฺตีติ: สพฺเพปิ สตฺตา, อตฺตนิ ทณฺเฑ
ปตนฺเต, ตสฺส ทณฺฑสฺส ตสนฺติ. มจฺจุโนติ: มรณสฺสาปิ ภายนฺติเยว.
ประโยค๓ – ธมฺมปทฏฺฐกถา (ปญฺจโม ภาโค) – หน้าที่ 45
อิมิสฺสา จ เทสนาย พฺยญฺชนํ นิรวเสสํ, อตฺโถ ปน สาวเสโส. ยถา
หิ รญฺญา ” สพฺเพ สนฺนิปตนฺตูติ เภริยา จาราปิตาย ราชมหามตฺเต
ฐเปตฺวา เสสา สนฺนิปตนฺติ; เอวเมว ” สพฺเพ ตสนฺตีติ วุตฺเตปิ,
” หตฺถาชาเนยฺโย อสฺสาชาเนยฺโย อุสภาชาเนยฺโย ขีณาสโวติ อิเม
จตฺตาโร ฐเปตฺวา อวเสสา ตสนฺตีติ เวทิตพฺพา. อิเมสุ หิ ขีณาสโว
สกฺกายทิฏฺฐิยา ปหีนตฺตา มรณกสตฺตํ๑ อปสฺสนฺโต น ภายติ,
อิตเร ตโย สกฺกายทิฏฺฐิยา พลวตฺตา อตฺตโน ปฏิปกฺขภูตํ สตฺตํ
อปสฺสนฺตา น ภายนฺติ. น หเนยฺย น ฆาตเยติ: ยถา อหํ; เอวํ
อญฺเญปิ สตฺตาติ น ปรํ หเนยฺย น หนาเปยฺยาติ อตฺโถ.
เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปุณึสูติ.
ฉพฺพคฺคิยภิกฺขุวตฺถุ.
๑. โปราณโปตฺถเก อมรณกสตฺตนฺติ ทิสฺสติ. ตมฺปน
วิรุทฺธํ. สีหลิกยุโรปิยโปตฺถเกสุปิ อีทิสเมว โหติ.
ประโยค๓ – พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๕ – หน้าที่ 67
๑๐. ทัณฑวรรค วรรณนา
๑. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์* [ ๑๐๗ ]
[ ข้อความเบื้องต้น ]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ
ฉัพพัคคีย์๑ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ” สพฺเพ ตสนฺติ “ เป็นต้น.
[ เหตุทรงบัญญัติปหารทานสิกขาบท ]
ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อเสนาสนะอันภิกษุสัตตรส๒–
พัคคีย์ซ่อมแซมแล้ว ภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ” พวกท่านจงออกไป.
พวกท่านแก่กว่า, เสนาสนะนั่นถึงแก่พวกผม,” เมื่อภิกษุพวกสัตตรส-
พัคคีย์เหล่านั้นพูดว่า ” พวกผมจักไม่ยอมให้. (เพราะ) พวกผม
ซ่อมแซมไว้ก่อน ” ดังนี้แล้ว จึงประหารภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุ
สัตตรสพัคคีย์ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว จึงร้องเสียงลั่น.
พระศาสดา ทรงสดับเสียงของภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า
” อะไรกันนี่ ? ” เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ” เรื่องชื่อนี้ ” ดังนี้
แล้ว ตรัสว่า ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จำเดิมแต่นี้ ธรรมดาภิกษุไม่
ควรทำอย่างนั้น, ภิกษุใดทำ, ภิกษุนั้นย่อมต้องอาบัติชื่อนี้ ” ดังนี้
แล้ว ทรงบัญญัติปหารทานสิกขาบท ตรัสว่า ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
* พระมหาบุญเลิศ ป. ธ. ๔ วัดบรมนิวาศ แปล พระอมรมุนี (จับ ป. ธ. ๙) ตรวจแก้.
๑. ภิกษุมีพวก ๖. ๒. ภิกษุมีพวก ๑๗.
ประโยค๓ – พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๕ – หน้าที่ 68
ธรรมดาภิกษุรู้ว่า ‘ เราย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความตาย
ฉันใด, แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา กลัวต่อความ
ตายฉันนั้นเหมือนกัน ‘ ไม่ควรประหารเอง ไม่ควรใช้ให้ผู้อื่นฆ่า “
ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
” สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา, สัตว์
ทั้งหมด ย่อมกลัวต่อความตาย, บุคคลทำตน
ให้เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้
ฆ่า (ผู้อื่น).”
[ แก้อรรถ ]
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ” สพฺเพ ตสนฺติ “ ความว่าสัตว์
แม้ทั้งหมด เมื่ออาชญาจะตกที่ตน ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญานั้น.
บทว่า มจฺจุโน ได้แก่ ย่อมกลัวแม้ต่อความตายแท้.
ก้พยัญชนะ๑แห่งเทศนานี้ไม่มีเหลือ. ส่วนเนื้อความยังมีเหลือ.
เหมือนอย่างว่า เมื่อพระราชารับสั่งให้พวกราชบุรุษตีกลองเที่ยวป่าว
ร้องว่า ” ชนทั้งหมดจงประชุมกัน ” ชนทั้งหลายที่เหลือเว้นพระราชา
และมหาอำมาตย์ของพระราชาเสีย ย่อมประชุมกันฉันใด, แม้เมื่อ
พระศาสดา ตรัสว่า ” สัตว์ทั้งปวง ย่อมหวาดหวั่น ” ดังนี้, สัตว์
ทั้งหลายที่เหลือเว้นสัตว์วิเศษ ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ ‘ ช้างอาชาไนย
ม้าอาชาไนย โคสอุสภอาชาไนย และพระขีณาสพ ‘ บัณฑิตพึงทราบ
๑. อธิบายว่า เพ่งตามพยัญชนะ แสดงว่า สัตว์ทั้งหลายกลัวต่อความตาย ไม่มีเว้น
ใครเลย แต่ตามอรรถ มีเว้นสัตว์บางพวก จึงกล่าวว่า ยังมีเหลือ.
ประโยค๓ – พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๕ – หน้าที่ 69
ว่า ย่อมหวาดหวั่นฉันนั้นเหมือนกัน. จริงอยู่ บรรดาสัตว์วิเศษเหล่านี้
พระขีณาสพ ไม่เห็นสัตว์ที่จะตาย เพราะความที่ท่านละสักกาย-
ทิฏฐิเสียได้แล้วจึงไม่กลัว, สัตว์วิเศษ ๓ พวกนอกนี้ ไม่เห็นสัตว์
ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน เพราะความที่สักกายทิฏฐิ มีกำลังจึงไม่กลัว.
พระคาถาว่า น หเนยฺย น ฆาตเย ความว่า บุคคล
รู้ว่า ” เราฉันใด, แม้สัตว์เหล่าอื่นก็ฉันนั้น ” ดังนี้แล้ว ก็ไม่ควร
ฆ่าเอง (และ) ไม่ควรใช้ให้ฆ่าสัตว์อื่น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์ จบ.
——-
ดูเพิ่มเติมที่ไฟล์: สีหสูตร – ผู้ไม่กลัวตาย