บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เอารายทางเป็นเป้าหมาย

เอารายทางเป็นเป้าหมาย

เอารายทางเป็นเป้าหมาย

—————————

คือความฉิบหายของพระศาสนา

…………..

ภาพพระขี่จักรยานนำขบวนที่นำมาประกอบเรื่องนี้มีญาติมิตรแชร์มาที่หน้าบ้านผมเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ (เมื่อปีที่แล้ว) อันเป็นวันที่มีการจัดกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อกันทั่วประเทศ 

จากข้อมูลที่พบ ได้ความว่า เป็นภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (๔ ปีที่แล้ว) พระภิกษุ ๒ รูปกับแม่ชีอีก ๑ ท่าน กำลังปั่นและนำขบวนจักรยานอีกประมาณ ๓๐๐ คัน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าไปยังโรงพยาบาลศิริราชเพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เป็นกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนหันมาใช้จักรยานแทนการใช้น้ำมันและก๊าซ 

เรื่องนี้หนังสือพิมพ์คมชัดลึกออนไลน์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ (๙ วันหลังจากมีกิจกรรม เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว) นำมาลงในหน้าศาสนา-พระเครื่อง : ข่าวทั่วไป ในหัวข้อเรื่องว่า “ตามติดศิษย์ตถาคต ‘ปั่นเพื่อโลก’ ”

————-

ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรในเวลานั้น เพราะกระแสข่าวกำลังมาแรง ผู้คนกำลัง “รู้สึก” กับข่าว พูดอะไรไปก็คงไม่มีใครฟัง

ตอนนี้ไม่มีกระแส ไม่มีความรู้สึก อารมณ์นิ่งๆ น่าจะช่วยให้เกิดความคิดที่เป็นสัมมาทิฐิได้ง่าย

ภาพนี้ เฉพาะที่หน้าบ้านผมมีผู้แสดงความคิดเห็นกันมาก และส่วนมากก็เป็นอย่างที่มักเป็นในสังคมไทย นั่นคือหนักไปในทางแสดงความรู้สึกมากกว่าที่จะแสดงความรู้

ความรู้กับความรู้สึกนั้นต่างกัน

ความรู้ต้องสืบค้น ต้องแสวงหา

แต่ความรู้สึกไม่ต้อง รู้สึกได้ทันที 

รู้สึกอย่างไร คือคิดอย่างไรก็แสดงออกมาได้ทันที

ผู้รู้ท่านตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่า สังคมไทยมักเป็นอย่างนี้ คือชอบแสดงความคิดเห็น แต่ไม่ชอบแสวงหาความรู้-แม้ในเรื่องที่ตนกำลังแสดงความคิดเห็นนั่นเอง

ตามที่ถูก ความคิดเห็นที่ดีควรตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้ คือแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้นๆ ให้ชัดหรือให้เพียงพอเสียก่อนแล้วจึงค่อยแสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่มีความรู้เป็นฐานเช่นนี้ย่อมมีน้ำหนักมั่นคง เพราะมีความรู้เป็นตัวกำกับให้อยู่ในร่องรอย ต่างจากความคิดเห็นที่ออกมาจากความรู้สึกซึ่งมักหาจุดจบที่ถูกต้องลงตัวได้ยาก และเพราะร้อยคนก็ร้อยความรู้สึก จึงมักจะนำไปสู่ความขัดแย้งมากกว่าที่จะนำให้เกิดปัญญาอันเป็นเครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาที่นำมาถกเถียงกันนั้นๆ

————-

คำถามจากภาพนี้ก็คือ พระทำอย่างนี้ผิดหรือไม่

คำถามนี้ต้องเอาความรู้มาตอบ คือต้องศึกษาให้รู้ชัดว่าพระทำอะไรได้ และทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ควรทำอะไร

ต่อไปก็ถามว่า พระควรทำอย่างนี้หรือไม่ และถ้ามีเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง พระควรมีกรอบขอบเขตแค่ไหนอย่างไรที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ

คำถามนี้ถามความคิดเห็น เมื่อมีความรู้เป็นพื้นฐานแล้ว (นอกจากความรู้ทางพระธรรมวินัยแล้วก็ควรต้องมีความรู้ทางสังคมทั่วไปเข้าประกอบด้วย) ก็สามารถใช้ความรู้นั้นเป็นฐานแห่งการคิดหาคำตอบได้อย่างมีหลักมีฐาน

————

คนไม่ได้เป็นพระมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นพระได้โดยการสืบสันตติวงศ์ 

หากแต่เป็นได้โดยการสมัครเข้ามาเป็นตามเงื่อนไขที่กำหนด

ถอยไปตั้งต้นตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงประกาศพระศาสนา คือทรงแสดงวิธีการครองชีวิตที่จะนำไปสู่การพ้นจากสังสารทุกข์คือการเวียนตายเวียนเกิด

มีคนที่ได้ฟังและเข้าใจ แล้วพอใจที่จะดำเนินตาม ก็สละบ้านเรือนและครอบครัวออกไปครองชีวิตตามแบบอย่างที่ทรงสอนและทรงปฏิบัติให้เห็น 

เมื่อคนที่สมัครใจออกไปใช้ชีวิตเช่นนั้นมีจำนวนมากขึ้นก็กลายเป็นสังคมอีกชนิดหนึ่ง และมีกฎระเบียบกำกับเพื่อให้การครองชีวิตชนิดนั้นดำเนินไปสู่ไปเป้าหมายได้ด้วยความเรียบร้อย

นี่คือกำเนิดสังคมสงฆ์

จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการเข้าไปเป็นสมาชิกแห่งสังคมสงฆ์นั้นก็เพื่อการปฏิบัติเพื่อพ้นจากสังสารทุกข์คือการเวียนตายเวียนเกิด

ใครพร้อมก็เข้ามา

ใครยังไม่พร้อม หรือยังไม่อยากจะไปสู่เป้าหมายนั้น ก็ไม่มีใครบังคับ

ถึงตอนนี้ก็จะมีคน ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งพอใจและพร้อมที่จะออกไปครองชีวิตแบบนั้น อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ แต่ยังไม่พร้อม เมื่อเห็นฝ่ายที่พร้อมกว่าออกไปปฏิบัติเช่นนั้นได้ก็มีแก่ใจสนับสนุนส่งเสริมด้วยประการต่างๆ เช่นสงเคราะห์ด้วยปัจจัยเพื่อให้สามารถครองชีวิตเช่นนั้นได้สะดวกเป็นต้น 

อุปมาเหมือนบ้านเมืองเกิดสงคราม คนที่ไม่พร้อมที่จะออกรบก็ช่วยสนับสนุนคนที่ออกรบให้มีกำลังสู้รบได้เต็มที่ฉะนั้น 

หรืออุปมาเหมือนคนว่ายน้ำข้ามฝั่ง คนบนฝั่งเอาใจช่วยขอให้ว่ายข้ามได้สำเร็จ

นี่คือกำเนิดของสังคมศรัทธา

ถึงตอนนี้ ภาพการครองชีวิตเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาได้กลายเป็นฐานหรือเป็นรูปแบบที่ก่อให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใส ชั้นเดิมจากคนที่รู้ชัดในเป้าหมายของการบวช แต่ชั้นต่อๆ มาเมื่อกาลเวลาผ่านมาจนถึงเวลานี้ ก็จากคนที่ศรัทธาเลื่อมใสโดยเหตุผลอื่นๆ โดยไม่ได้เพ่งเล็งหรือสนใจว่าตัวบุคคลที่ตนศรัทธาเลื่อมใสนั้นจะกำลังมุ่งหน้าปฏิบัติดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์หรือหาไม่ เช่นศรัทธา เลื่อมใส สนับสนุน เพราะ –

ความสามารถในการแสดงธรรม เผยแผ่ธรรม

การตั้งสำนักศึกษาและปฏิบัติธรรม

การช่วยแก้ปัญหาทางด้านจิตใจ เช่น ดูหมอ ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์ เสริมสิริมงคล สร้างและแจกจ่ายของขลัง วัตถุมงคลต่างๆ

รักษาโรค

รวมทั้งธุรกิจ “ขายบุญ” หรือที่เรียกกันว่า “พุทธพาณิชย์” ในรูปแบบต่างๆ

ตลอดจนทำกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป

————-

ในท่ามกลางความเป็นไปเช่นนี้ หากจะมีเสียงทักท้วงขึ้นว่า การกระทำดังกล่าวนี้เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ในพระพุทธศาสนาอย่างนั้นหรือ

ก็จะมีเสียงตอบย้อนกลับมาว่า ที่บวชกันอยู่ทุกวันนี้มีใครบ้างล่ะที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน

การย้อนตอบแบบนี้ไม่ใช่คำตอบเพื่อแก้ปัญหา แต่เป็นการยกเอาเงื่อนแง่บางอย่างขึ้นมาคานปัญหาไว้เท่านั้น ซึ่งเท่ากับบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครบวชเพื่อไปนิพพานกันอีกแล้วนั่นเอง

ฝ่ายท่านอีกจำพวกหนึ่ง ไม่สนใจว่าใครจะบวชไปนิพพานหรือบวชเพื่ออะไรก็ช่าง และพระพุทธศาสนาจะมีเป้าหมายชีวิตเพื่ออะไรก็ช่าง คงมองแต่เพียงว่าบวชเข้ามาแล้วทำประโยชน์ให้แก่ผู้คนในสังคมได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว 

ท่านจำพวกที่มองแบบนี้นับวันจะมีมากขึ้น

สรุปว่า ตกมาถึงปัจจุบัน สังคมศรัทธาก็ยังมีอยู่ แต่เนื้อในส่วนใหญ่ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว 

จากเนื้อเดิมศรัทธาเลื่อมใสและสนับสนุนนักบวชเพื่อให้มีกำลังปฏิบัติดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ 

กลายเป็นศรัทธาเลื่อมใสและสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น

แปลว่าศรัทธาแม้จะยังตั้งอยู่บนฐานเดิมคือศรัทธาต่อเพศบรรพชิต แต่เป้าหมายที่เข้ามาศรัทธาเปลี่ยนไป

จากเป้าหมายเดิม-เพื่อสนับสนุนให้ปฏิบัติดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์

เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็น-เพื่อสนับสนุนให้ทำประโยชน์แก่สังคม

อันที่จริง การทำประโยชน์ให้แก่สังคมนั้นเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามรายทาง ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการบวช และไม่ใช่เหตุผลดั้งเดิมที่ผู้คนพากันนับถือเลื่อมใสเพศบรรพชิต

แต่กลายเป็นว่า เราสนใจเป้าหมายน้อยกว่ากิจกรรมรายทาง

และในที่สุดก็กำลังจะมองกิจกรรมรายทางว่าเป็นเป้าหมายของการบวช

แล้วก็ช่วยกันสนับสนุน-นับถือผู้ทำกิจกรรมรายทางมากกว่าที่จะสนับสนุนให้ปฏิบัติดำเนินไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง

————-

อยากชวนชาวพุทธให้ช่วยกันพิจารณา แล้วถามตัวเองว่า ระหว่างเป้าหมายกับรายทาง เราจะมุ่งไปที่ไหน และเราจะสนับสนุนกันแบบไหน

ซึ่งก็เท่ากับถามว่า เราตีค่าพระพุทธศาสนาไว้ที่ไหน

ถ้าช่วยกันคิดเรื่องนี้ บางทีจะได้คำตอบว่า-ที่มักอ้างกันเนืองๆ ว่า ไม่มีใครทำลายพระพุทธศาสนาได้-นอกจากชาวพุทธด้วยกันเองนั้น ก็คือที่เรากำลังเลื่อมใสและสนับสนุนเพศบรรพชิตกันแบบทุกวันนี้นี่เอง-ใช่หรือไม่?

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

๑๖:๔๕

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *