ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑]
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑]
—————————–
นำร่อง
——-
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แสดงหนทางปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระศาสนาทรงชี้ทางไว้ว่า การปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์นั้นจะได้ผลดีผู้ปฏิบัติต้องออกจากเรือนไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน มีหลักมีเกณฑ์ในการครองชีวิตอีกแบบหนึ่งต่างจากผู้ครองเรือน
คำแนะนำนี้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองเป็นบทพิสูจน์ และต่อมาก็มีพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเป็นพยานยืนยัน
พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย แต่เดิมก็คือชาวบ้านธรรมดาเหมือนเราท่านนี่เอง ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่ไหน เป็นชาวบ้านที่ฟังคำสอนแล้วเกิดศรัทธา
แล้วออกบวช
แล้วปฏิบัติตาม
แล้วบรรลุธรรม
ที่ยังไม่บรรลุก็พยายามปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ เพื่อบรรลุในโอกาสต่อไป
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่มีเพศสมณะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา
ถ้าจะมองพระพุทธศาสนาให้เห็นภาพรวมที่ถูกต้อง ก็ขอให้มองว่า พระพุทธศาสนามีส่วนประกอบ ๒ ส่วน คือ –
๑ ระบบคำสอน รวมทั้งส่วนที่สืบเนื่อง เช่น ประเพณี พิธีการบางอย่างเป็นต้น
๒ ตัวบุคคล รวมทั้งส่วนที่สืบเนื่อง เช่น รูปแบบ วิถีชีวิต วัตถุ สถานที่เป็นต้น
เมื่อมีบุคคลเข้ามาถือเพศสมณะ พระพุทธองค์ก็ทรงวางระเบียบวิถีชีวิต คือคำสอนส่วนที่เรียกว่า “พระวินัย” เช่นบัญญัติสิกขาบทหรือศีลของภิกษุภิกษุณีเป็นต้น ซึ่งกล่าวโดยหลักสำคัญก็มี ๒ ส่วนเท่านั้น คือเรื่องที่ “ห้ามทำ” และเรื่องที่ “ต้องทำ”
บรรดาสิกขาบทหรือศีลทั้งหลายนั้น มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เกิดจากคำตำหนิติเตียนของชาวบ้านเมื่อเห็นพระภิกษุประพฤติไม่เหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติข้อห้ามขึ้น คือสิกขาบทต่างๆ
เหตุผลข้อสำคัญที่ชาวบ้านยกขึ้นตำหนิก็คือ “พระทำอย่างนี้ก็เหมือนชาวบ้าน”
ขอยกตัวอย่างมาให้ศึกษาเรื่องหนึ่ง คือกรณีพระรับเงิน
ต้นเหตุมาจากชาวบ้านคนหนึ่งนิมนต์ภิกษุรูปหนึ่งไปฉันที่บ้านเป็นประจำ วันหนึ่งเด็กในบ้านร้องกิน เขาเอาอาหารที่เตรียมไว้ถวายพระให้เด็กกินไปก่อน แล้วเตรียมเงินไว้สำหรับจัดหาอาหารมาถวายใหม่ ภิกษุทราบว่าเขาเตรียมเงินไว้ก็บอกว่าให้ถวายเงินนั้นได้เลยไม่ต้องเอาไปจัดหาอาหาร เจ้าของบ้านขัดไม่ได้ก็ถวายเงิน ภิกษุนั้นรับเงินกลับไปแล้วเขาจึงตำหนิ
คำตำหนิตามสำนวนในคัมภีร์ท่านว่าไว้ดังนี้ –
…………………….
อุชฺฌายติ ขียติ วิปาเจติ ยเถว มยํ รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหาม
เอวเมวิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา รูปิยํ ปฏิคฺคณฺหนฺติ.
ชายผู้นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
พระสมณะเชื้อสายพระศากบุตรเหล่านี้รับรูปิยะเหมือนพวกเรา
ที่มา: มหาวิภังค์ ภาค ๒ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๑๐๕
…………………….
ชาวพุทธชาวบ้านควรช่วยกันเรียนรู้และจดจำสำนวน “เหมือนพวกเรา” กันไว้สักสำนวนหนึ่ง ภาษาบาลีท่านว่า –
ยเถว มยํ … เอวเมวิเม … (ยะเถวะ มะยัง … เอวะเมวิเม)
แปลว่า – พวกเรา-อย่างไร … พระพวกนี้ก็-อย่างนั้น
สรุปด้วยคำสั้นๆ ว่า “เหมือนพวกเรา”
ในพระวินัยปิฎกจะพบสำนวน “ยเถว มยํ … เอวเมวิเม …” = “เหมือนพวกเรา” ได้ทั่วไป เช่น –
…………………….
ยเถว มยํ สปฺปชาปติกา อาหิณฺฑาม เอวเมวิเม …
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้เที่ยวไปกับพวกภิกษุณี เหมือนพวกเรากับภรรยาเดินเที่ยวกัน
(มหาวิภังค์ ภาค ๒ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๔๕๑)
ยเถว มยํ สปฺปชาปติกา เอกนาวาย กีฬาม เอวเมวิเม …
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ชักชวนกันเล่นเรือลำเดียวกับพวกภิกษุณี เหมือนพวกเราพร้อมด้วยภรรยาเล่นเรือลำเดียวกัน
(มหาวิภังค์ ภาค ๒ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๔๕๖)
ยเถว มยํ คายาม เอวเมวิเม …
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับเหมือนพวกเราร้องเพลง
(จุลวรรค ภาค ๒ วินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๒๐)
…………………….
ถ้ายกพฤติการณ์ตามพระไตรปิฎกออก แล้วเอาพฤติการณ์ในปัจจุบันเข้าไปใส่แทน ก็จะมองเห็นภาพ “เหมือนพวกเรา” ได้เป็นร้อยๆ เรื่อง
มองในแง่ดี ชาวบ้านตำหนิไม่ได้แปลว่าเขาเกลียดชังพระ
แต่แปลว่า เขาอยากเห็นพระทำสิ่งที่ดีกว่าที่ชาวบ้านทำ นั่นคือชาวบ้านมีความคาดหวังสูง และมีความหวังดีอย่างยิ่ง
ผู้ที่เข้ามาบวชจึงเป็นความหวังของชาวบ้าน
การพยายามทำในสิ่งที่ชาวบ้านคาดหวังจึงเป็นหน้าที่อันสำคัญยิ่งของพระภิกษุสามเณร
และสิ่งที่ชาวบ้านคาดหวังให้พระภิกษุสามเณรทำก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ตรงกันข้าม เป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยอย่างยิ่ง เพราะพระธรรมวินัยคืออุปกรณ์เครื่องช่วยฝึกปุถุชนให้ก้าวข้ามขึ้นไปสู่ความเป็นอารยชน
เสียงตำหนิของชาวบ้านจึงเป็นเสียงแห่งความปรารถนาดี ไม่ใช่มุ่งทำลาย
จึงควรช่วยกันแปรเสียงตำหนิให้เป็นกำลังใจ
สำหรับผู้ที่ไม่เคยคิดจะทำหรือยังทำไม่ได้ จะได้มีธรรมฉันทะที่จะก้าวออกจากที่เดิม
สำหรับผู้ที่กำลังก้าวเดินไป จะได้มีอุตสาหะพากเพียรบากบั่นยิ่งๆ ขึ้น
ถ้าท่านพยายาม ชาวบ้านก็พร้อมที่จะเป็นกำลังใจและกำลังอื่นๆ ทุกกำลัง
แต่ถ้าท่านไม่ฟัง พระศาสนาพังจะโทษใคร?
ชาวบ้านมีส่วนช่วยดำรงวินัยของพระอย่างไร โปรดพิจารณาเรื่องต่อไปนี้
……………
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓
๑๕:๑๒
………………………………..
นำเรื่อง
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๒]