ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๓]
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๓]
—————————–
(นำร่อง-ต่อ)
สิ่งที่น่ากังวลและน่ากลัวในสมัยนี้ก็คือ ผู้ที่เข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ หากแต่ใช้ความคิดความเชื่อความเข้าใจของตนเองนำหน้า คือเชื่อไป ประพฤติไป ทำไป ตามที่ตนเองเข้าใจว่าถูกว่าดี พระธรรมวินัยบัญญัติแสดงไว้อย่างไรไม่รับรู้
พอดีกันกับทฤษฎีที่เริ่มจะมีผู้ชูขึ้นมาว่า-พระไตรปิฎกเป็นเอกสารโบราณ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ล่วงกาลผ่านเวลามากว่าสองพันปี มีใครแทรกเสริมเติมแต่งลงไปตรงไหนบ้างก็พิสูจน์ไม่ได้
ผสมไปกับการขาดวิริยะอุตสาหะที่จะศึกษาสืบค้นอันเป็นสิ่งที่นอนเนื่องเป็นทุนอยู่ในนิสัย
เหล่านี้ ประมวลกันเข้าเป็นผลให้เกิดการประพฤติปฏิบัติวิปริตผิดแปลกในรูปแบบต่างๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นในนาม “พระพุทธศาสนา” เสนอแก่ตาของสังคม
……………….
ตามที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านย่อมรู้จักระบบวิถีชีวิตของพระสงฆ์และเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ทุกวันนี้แม้ระบบวิถีชีวิตสงฆ์จะยังคงได้รับการยึดถือปฏิบัติตามหลักการเดิมอันเรียกว่าพระธรรมวินัยอยู่ แต่บางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ชาววัด-คือพระภิกษุสามเณรที่ไม่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยมีมากขึ้น ทำให้การประพฤติปฏิบัติบางอย่างผิดเพี้ยนไปจากเดิม
ข้างฝ่ายชาวบ้าน-คือสังคมโลกที่ไม่รู้หลักพระธรรมวินัยก็มีมากขึ้น เห็นพระภิกษุสามเณรประพฤติการบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถบอกได้ว่าถูกหรือผิด บางพวกเห็นการประพฤติผิดแล้วเข้าใจว่าไม่ผิดก็มี ชาวบ้านที่มองพระภิกษุสามเณรด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจในระบบวิถีชีวิตของสงฆ์ก็มีมากขึ้น
ในท่ามกลางแห่งความเป็นไปเช่นนี้ เมื่อมีพระภิกษุสามเณรกระทำการอย่างใดๆ ปรากฏเป็นที่รู้เห็นขึ้นในสังคมและถูกยกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์ จึงเกิดเป็นข้อสงสัยและกลายเป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยว่า พระภิกษุสามเณรทำเช่นนั้นผิดหรือถูก
เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นความพยายามที่จะอธิบายหรือช่วยหาวิธีคิดเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น
……………
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓
๑๘:๕๒
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๒]
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๔]