บาลีวันละคำ

มุนี (บาลีวันละคำ 4,805)

มุนี 

หญ้าปากคอกอีกคำหนึ่ง

คำว่า “มุนี” บาลีเป็น “มุนิ” อ่านว่า มุ-นิ รากศัพท์มาจาก –

(1) มุนฺ (ธาตุ = รู้; ผูก) + อิ ปัจจัย

: มุนฺ + อิ = มุนิ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้รู้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น” (2) “ผู้รู้ประโยชน์ทั้งสอง” (3) “ผู้ผูกจิตของตนไว้มิให้ตกไปสู่อำนาจของราคะโทสะเป็นต้น

(2) โมน (ความรู้) + อี ปัจจัย, รัสสะ อี เป็น อิ, แผลง โอ ที่ โม-(น) เป็น อุ (โมน > มุน)

: โมน > มุน + อี = มุนี > มุนิ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความรู้หรือมีโมเนยยธรรม” 

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “มุนิ” ว่า a holy man, a sage, wise man (ผู้บำเพ็ญพรต, ผู้ศักดิ์สิทธิ์, นักปราชญ์, คนฉลาด)

โปรดสังเกตว่า ในภาษาบาลี คำนี้เป็น “มุนิ” –นิ สระ อิ ไม่ใช่ มุนี

บาลี “มุนิ” ในภาษาไทยใช้เป็น “มุนิ” และ “มุนี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

มุนิ, มุนี : (คำนาม) นักปราชญ์, ฤษี, พระสงฆ์. (ป., ส.).”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “มุนี” ขยายความไว้ดังนี้ –

…………..

มุนี : นักปราชญ์, ผู้สละเรือนและทรัพย์สมบัติแล้ว มีจิตใจตั้งมั่นเป็นอิสระไม่เกาะเกี่ยวติดพันในสิ่งทั้งหลาย สงบเย็น ไม่ทะเยอทะยานฝันใฝ่ ไม่แส่พล่านหวั่นไหว มีปัญญาเป็นกำลังและมีสติรักษาตน, พระสงฆ์หรือนักบวชที่เข้าถึงธรรมและดำเนินชีวิตอันบริสุทธิ์

…………..

ขยายความ :

มุนี” มี 6 จำพวก ดังนี้ –

…………..

(1) อคาริยมุนี = คฤหัสถ์ผู้บรรลุธรรม เข้าใจหลักคำสอนแจ่มแจ้ง

(2) อนคาริยมุนี = บรรพชิตผู้บรรลุธรรม เข้าใจหลักคำสอนแจ่มแจ้ง

(3) เสกขมุนี = พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี

(4) อเสกขมุนี = พระอรหันตขีณาสพ

(5) ปัจเจกมุนี = พระปัจเจกพุทธเจ้า

(6) มุนิมุนี = พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่มา: ปรมัตถทีปนี อรรถกถาอิติวุตตกะ (ทุกนิปาตวัณณนา) หน้า 236

…………..

สมัยพุทธกาล มีค่านิยมกันว่าคนที่นั่งนิ่งคือ “มุนี

แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า –

…………..

นาหํ  ภิกฺขเว  ตุณฺหีภาวมตฺเตน  มุนีติ  วทามิ

ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกว่า “มุนี” เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง

เอกจฺเจ  หิ  อชานนฺตา  น  กเถนฺติ 

คนบางพวกไม่รู้ จึงนิ่ง

เอกจฺเจ  อวิสารทตาย 

คนบางพวกไม่กล้าพูด จึงนิ่ง

เอกจฺเจ  มา  โน  อิมํ  อติสยตฺถํ  อญฺเญ  ชานึสูติ  มจฺเฉเรน 

คนบางพวกไม่อยากให้คนอื่นรู้อะไร ๆ เหมือนตัว จึงนิ่ง

ตสฺมา  น  โมนมตฺเตน  มุนิ  โหติ 

เพราะฉะนั้น เพียงแต่นิ่งจึงยังไม่ใช่ “มุนี”

ปาปวูปสมเนน  ปน  มุนิ  นาม  โหติ

แต่คนที่สงบนิ่งเพราะสงบบาป จึงชื่อว่า “มุนี”

ที่มา: ติตถิยวัตถุ ธัมมปทัฏฐกถา ภาค 7

…………..

แถม :

น  โมเนน  มุนิ  โหติ 

มูฬฺหรูโป  อวิทฺทสุ 

โย  จ  ตุลํว  ปคฺคยฺห 

วรมาทาย  ปณฺฑิโต  ฯ

ปาปานิ  ปริวชฺเชติ

ส  มุนิ  เตน  โส  มุนิ 

โย  มุนาติ  อุโภ  โลเก 

มุนิ  เตน  ปวุจฺจติ  ฯ 

คนโง่เขลา ไม่รู้อะไร 

นั่งนิ่งดุจคนใบ้ ไม่นับเป็นมุนี 

ส่วนคนมีปัญญาทำตนเหมือนถือคันชั่ง 

เลือกชั่งเอาแต่ความดี ละทิ้งความชั่วช้า 

ด้วยปฏิปทาดังกล่าว เขานับว่าเป็นมุนี 

อนึ่ง ผู้ที่รู้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า 

จึงควรแก่สมญาว่า มุนี 

Not by silence does one become a sage 

If one be both ignorant and dull. 

But the wise who, as if holding a pair of scales, 

Embraces the best and shuns evil- 

He is indeed, for that reason, a sage. 

He that understands both worlds is called a sage.

ที่มา:

ภาษาบาลี: ธัมมัฏฐวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 29

ภาษาไทยและอังกฤษ: พุทธวจนะในธรรมบท โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

…………..

ดูก่อนภราดา!

: นิ่งเป็น

: เย็นทันที

#บาลีวันละคำ (4,805)

8-8-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้