ศรัทธา (บาลีวันละคำ 4,814)

ศรัทธา
โยงไปหา “สังเวชนียสถาน”
“ศรัทธา” อ่านว่า สัด-ทา เป็นรูปคำสันสกฤต บาลีเป็น “สทฺธา” อ่านว่า สัด-ทา รากศัพท์มาจาก –
(1) สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + ธา (ธาตุ = เชื่อถือ, นับถือ) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น นฺ แล้วแปลง นฺ เป็น ทฺ (สํ > สนฺ > สทฺ)
: สํ > สนฺ > สทฺ + ธา = สทฺธา + อ = สทฺธา แปลตามศัพท์ว่า (1) “กิริยาที่เชื่อถือ” (2) “ธรรมชาติเป็นเหตุให้เชื่อถือ”
(2) ส (ตัดมาจาก “สมฺมา” = ด้วยดี, ถูกต้อง) + นิ (คำอุปสรรค = เข้า, ลง) + ธา (ธาตุ = มอบไว้, ฝากไว้) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง นิ เป็น ทฺ
: ส + นิ + ธา = สนิธา + อ = สนิธา > สทฺธา แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาติเป็นเหตุให้มอบจิตไว้ด้วยดี”
“สทฺธา” หมายถึง ความเชื่อ (faith)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “สัทธา” ตามรูปคำบาลีไว้ด้วย บอกไว้ว่า –
“สัทธา : (คำนาม) ความเชื่อ, ความเลื่อมใส. (ป.; ส. ศฺรทฺธา).”
บาลี “สทฺธา” สันสกฤตเป็น “ศฺรทฺธา”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
“ศฺรทฺธา : (คำนาม) ‘ศรัทธา,’ ความเชื่อ; faith, belief.”
บาลี “สทฺธา” ภาษาไทยใช้ตามสันสกฤตเป็น “ศรัทธา” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ศรัทธา : (คำนาม) ความเชื่อ, ความเลื่อมใส, เช่น สิ้นศรัทธา ฉันมีศรัทธาในความดีของเขา บางทีก็ใช้เข้าคู่กับคำ ประสาทะ เป็น ศรัทธาประสาทะ. (คำกริยา) เชื่อ, เลื่อมใส, เช่น เขาศรัทธาในการรักษาแบบแพทย์แผนโบราณ. (ส. ศฺรทฺธา; ป. สทฺธา).”
ขยายความ :
“ศรัทธา” หรือ “สัทธา” คำเล็ก ๆ สั้น ๆ แต่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าขาดศรัทธา แม้สิ่งที่มีค่าก็ไม่อยากดู ไม่อยากเห็น มิหนำซ้ำไม่เห็นคุณค่าอีกด้วย
ข้อความที่เป็นพุทธพจน์ต่อไปนี้เป็นบทพิสูจน์ความที่กล่าวนี้ ซึ่งถ้าอ่านโดยไม่สังเกตก็จะไม่รู้สึก คือมองไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น-ถ้าขาดศรัทธา แม้สิ่งที่มีค่าก็ไม่อยากเห็น
พึงสดับดังนี้ –
…………..
จตฺตารีมานิ อานนฺท สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิ ฯ
ดูก่อนอานนท์ สถาน 4 แห่งเหล่านี้เป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา
กตมานิ จตฺตาริ ฯ
สถาน 4 แห่งคือสถานที่ไหนบ้าง?
อิธ ตถาคโต ชาโตติ อานนฺท สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํ
สถานเป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี่ 1
อิธ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติ อานนฺท สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํ
สถานเป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ 1
อิธ ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตนฺติ อานนฺท สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํ
สถานเป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า พระตถาคตยังธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไปแล้ว ณ ที่นี้ 1
อิธ ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโตติ อานนฺท สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํ
สถานเป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ด้วยระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ 1
อิมานิ โข อานนฺท จตฺตาริ สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิ
ดูก่อนอานนท์ สถาน 4 แห่งเหล่านี้แลเป็นที่ควรเห็น ควรเตือนใจให้ได้คิด ของกุลบุตรผู้มีศรัทธา
อาคมิสฺสนฺติ โข อานนฺท สทฺธา ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกา
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธา จักมาด้วยระลึกถึงว่า –
โย อิธ ตถาคโต ชาโตติปิ
พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ก็แห่งหนึ่ง
อิธ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธติปิ
พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ก็แห่งหนึ่ง
อิธ ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตนฺติปิ
พระตถาคตยังธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไป ณ ที่นี้ก็แห่งหนึ่ง
อิธ ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโตติปิ
พระตถาคตเสร็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ณ ที่นี้ก็แห่งหนึ่ง
เย หิ เกจิ อานนฺท เจติยจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา ปสนฺนจิตฺตา กาลํ กริสฺสนฺติ
ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดียสถานเหล่านี้ มีจิตเลื่อมใส ล่วงลับไป
สพฺเพ เต กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสนฺตีติ ฯ
ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้แล
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 131
…………..
โปรดสังเกตว่า คำที่ตรัสกำกับไว้ทุกตอนคือคำว่า “ผู้มีศรัทธา” (คำในประโยคบาลีว่า สทฺธสฺส และ สทฺธา) หมายความว่า บุคคลผู้นั้นต้องมีศรัทธาเท่านั้นจึงจะเห็นสถานที่ทั้ง 4 แห่งนั้นว่าเป็นที่ควรไปดูไปเห็นเพื่อเตือนใจให้ได้คิด
ชาวพุทธ ถ้ามีศรัทธา แม้อยู่ไกลแสนไกลก็จะพยายามดั้นด้นไปดูไปเห็นเพื่อเตือนใจให้ได้คิด
แต่ถ้าไม่มีศรัทธา อย่าว่าแต่อยู่ไกลถึงเมืองไทยนี้เลย ต่อให้อยู่ใกล้ชิดติดกับสถานที่เหล่านั้นแท้ ๆ เขาก็ไม่ต้องการจะไปดูไปเห็นให้เสียเวลา
“ศรัทธา” คำเล็ก ๆ สั้น ๆ แต่มีความสำคัญมากที่สุด ด้วยประการฉะนี้
แถม :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “สังเวชนียสถาน” อธิบายขยายความไว้ดังนี้ –
…………..
สังเวชนียสถาน : สถานเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช, สถานอันเป็นที่เจริญสังเวคธรรม; ชื่อเต็มตามบาลีพุทธพจน์ว่า “ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิ” (ที.ม.๑๐/๑๓๑/๑๖๓; องฺ.จตุกฺก.๒๑/๑๑๘/๑๖๑) แปลว่า สถานอันเป็นทัศนีย์ ที่เจริญสังเวช คือ บุญสถานอันควรไปดูไปชม เพื่อเตือนใจให้นึกถึงความจริงแห่งธรรมดาของสิ่งทั้งหลายอันไม่พึงประมาท และพาให้น้อมใจระลึกถึงพระพุทธคุณ ที่ทรงมีพระมหากรุณาสั่งสอนให้เรารู้เข้าใจเข้าถึงความจริงของธรรมนั้นได้ โดยที่เราจะตั้งใจศึกษาให้รู้เข้าใจและปฏิบัติให้เจริญในบุญในกุศลจนเข้าถึงธรรมที่ได้ทรงสอนไว้;
สังเวชนียสถาน ๔ คือ
๑. ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือ ลุมพินีวัน ปัจจุบันเรียก ลุมพินี (Lumbini) หรือ รุมมินเด (Rummindei)
๒. ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือควงโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh Gaya)
๓. ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียก สารนาถ (Sarnath)
๔. ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน คือ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือ กุสินคร (Kusinagara) บัดนี้เรียก Kasia.
…………..
ดูก่อนภราดา!
: รู้ค่าของสิ่งที่มีค่า
: นั่นแหละคือค่าของคน
#บาลีวันละคำ (4,814)
17-8-68
…………………………….
…………………………….
