อายุสังขาร (บาลีวันละคำ 4,853)

อายุสังขาร
หมายถึงอะไร
อ่านว่า อา-ยุ-สัง-ขาน
ประกอบด้วยคำว่า อายุ + สังขาร
(๑) “อายุ”
อ่านว่า อา-ยุ รากศัพท์มาจาก อิ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ณุ ปัจจัย, แผลง อิ เป็น อา, แปลง ณ ที่ ณุ เป็น อย (ณุ : ณ + อุ : ณ > อย + อุ = อยุ)
: อิ > อา + ณุ > อยุ : อา + อยุ = อายุ
หรือ –
: อิ + ณุ = อิณุ > อาณุ > (ณุ > อยุ : อา + อยุ = ) อายุ
“อายุ” (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเหตุดำเนินไปแห่งสัตวโลก” หมายความว่า สัตวโลกดำเนินไปได้ด้วยสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นหมดลง การดำเนินไปของสัตวโลกก็หยุดลงเพียงนั้น
“อายุ” หมายถึง ชีวิต, ความสามารถดำรงชีวิต, การกำหนดอายุ, ความมีอายุยืน (life, vitality, duration of life, longevity)
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “อายุ” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
อายุ : สภาวธรรมที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่หรือเป็นไป, พลังที่หล่อเลี้ยงดำรงรักษาชีวิต, พลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตที่จะดำรงอยู่และดำเนินต่อไป, ตามปกติท่านอธิบายว่า อายุ ก็คือ ชีวิตินทรีย์ นั่นเอง; ช่วงเวลาที่ชีวิตของมนุษย์สัตว์ประเภทนั้น ๆ หรือของบุคคลนั้น ๆ จะดำรงอยู่ได้, ช่วงเวลาที่ชีวิตจะเป็นอยู่ได้ หรือได้เป็นอยู่; ในภาษาไทย อายุ มีความหมายเพี้ยนไปในทางที่ไม่น่าพอใจ เช่นกลายเป็นความผ่านล่วงไปหรือความลดถอยของชีวิต
…………..
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อายุ : (คำนาม) เวลาที่ดำรงชีวิตอยู่, เวลาชั่วชีวิต, ช่วงเวลานับตั้งแต่เกิดหรือมีมาจนถึงเวลาที่กล่าวถึง, ระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น อายุใบอนุญาต ยานี้หมดอายุแล้ว, ระยะเวลาที่กำหนดรู้ความยั่งยืนของสิ่งนั้น ๆ เช่น อายุของหิน. (ป.; ส. อายุสฺ หรือ อายุษฺ เมื่อนำหน้าบางคำ, แต่เมื่อนำหน้าอักษรต่ำกับตัว ห เปลี่ยน สฺ เป็น รฺ เช่น อายุรเวท, แต่ถ้าใช้อย่างบาลีก็ไม่ต้องมี ส หรือ ร).”
(๒) “สังขาร”
เขียนแบบบาลีเป็น “สงฺขาร” อ่านว่า สัง-ขา-ระ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + กรฺ (ธาตุ = ทำ) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลงนิคหิตเป็น งฺ, แปลง กรฺ เป็น ขรฺ, ทีฆะ อะ ที่ ข-(ร) เป็น อา (ขร > ขาร)
: สํ > สงฺ + กรฺ = สงฺกรฺ + ณ = สงฺกรณ > สงฺกร > สงฺขร > สงฺขาร (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ทำร่วมกัน” คือ “สภาวะอันปัจจัยปรุงแต่ง”
“สงฺขาร” มีความหมาย 2 อย่าง คือ :
(1) สิ่งที่ถูกปรุงผสมขึ้นให้เห็นว่าเป็นอะไรอย่างหนึ่ง แต่เมื่อแยกส่วนประกอบออกจากกันแล้ว “อะไรอย่างหนึ่ง” นั้นก็ไม่มี (compounded things; component things; conditioned things)
ความหมายนี้รวมไปถึง “ร่างกาย ตัวตน” (the physical body) ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ
(2) อาการที่จิตคิดปรุงแต่งไปต่างๆ หรือเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ ให้เป็นไปต่างๆ (mental formations; volitional activities)
ความหมายนี้ก็คือ 1 ในองค์ประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันเข้าเป็นชีวิตคน ที่เรียกว่า ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
บาลี “สงฺขาร” ในภาษาไทยใช้เป็น “สังขาร”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มีคำว่า “สังขาร” 2 คำ บอกไว้ดังนี้ –
…………..
(1) สังขาร ๑ :
1. สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง, สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นรูปธรรมก็ตามนามธรรมก็ตาม ได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด, ตรงกับคำว่า สังขตะ หรือ สังขตธรรม ได้ในคำว่า “สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง” ดังนี้เป็นต้น
2. สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานที่ปรุงแต่งความคิด การพูด การกระทำ มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล ที่กลางๆ เป็นอัพยากฤต ได้แก่เจตสิก ๕๐ อย่าง (คือ เจตสิกทั้งปวงเว้นเวทนาและสัญญา) เป็นนามธรรมอย่างเดียว, ตรงกับสังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ ได้ในคำว่า “รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง” ดังนี้เป็นต้น; อธิบายอีกปริยายหนึ่ง สังขารตามความหมายนี้ยกเอาเจตนาขึ้นเป็นตัวนำหน้า ได้แก่ สัญเจตนา คือเจตนาที่แต่งกรรมหรือปรุงแต่งการกระทำ มี ๓ อย่างคือ ๑. กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย คือ กายสัญเจตนา ๒. วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา คือ วจีสัญเจตนา ๓. จิตตสังขาร หรือ มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ คือ มโนสัญเจตนา
3. สภาพที่ปรุงแต่งชีวิตมี ๓ คือ ๑. กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งกาย ได้แก่อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ๒. วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งวาจา ได้แก่วิตกและวิจาร ๓. จิตตสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งใจ ได้แก่สัญญาและเวทนา
(2) สังขาร ๒ : คือ ๑. อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบครอง ๒. อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมไม่ครอบครอง, แปลโดยปริยายว่า สังขารที่มีใจครอง และสังขารที่ไม่มีใจครอง
…………..
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สังขาร : (คำนาม) ร่างกาย, ตัวตน, สิ่งที่ประกอบและปรุงแต่งขึ้นเป็นร่างกายและจิตใจรวมกัน, เช่น สังขารร่วงโรย สังขารไม่เที่ยง; ความคิด เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. (ป.; ส. สํสฺการ). (คำกริยา) ตาย เช่น ถึงซึ่งสังขาร, ในบทกลอนใช้ว่า สังขาร์ ก็มี.”
อายุ + สงฺขาร = อายุสงฺขาร (อา-ยุ-สัง-ขา-ระ) ใช้ในภาษาไทยเป็น “อายุสังขาร” (อา-ยุ-สัง-ขาน) แปลว่า “การปรุงอายุ” หมายถึง การทำให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไป
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายของ “อายุสงฺขาร” ไว้ว่า constituent of life, conditions or properties resulting in life, vital principle (อายุสังขาร, สภาพหรือคุณสมบัติที่ยังผลให้เกิดชีวิตขึ้น, เครื่องประกอบเป็นชีวิต)
“อายุสงฺขาร” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อายุสังขาร”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “อายุสังขาร” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
อายุสังขาร : เครื่องปรุงแต่งอายุ, ปัจจัยต่าง ๆ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของสัตว์และพืชให้ดำรงอยู่และสืบต่อไปได้, มักพบในคำว่า “ปลงอายุสังขาร” และ “ปลงพระชนมายุสังขาร”.
…………..
คำว่า “อายุสังขาร” ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
ขยายความ :
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ไม่ได้เก็บคำว่า “อายุสังขาร” แต่เก็บคำว่า “ปลงอายุสังขาร” ไว้ บอกไว้ดังนี้ –
“ปลงอายุสังขาร : (คำกริยา) บอกกำหนดวันสิ้นสุดแห่งอายุ (ใช้แก่พระพุทธเจ้า).”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “ปลงอายุสังขาร” บอกให้ดูที่คำว่า “อายุสังขารโวสสัชชนะ”
ตามไปดูที่คำว่า “อายุสังขารโวสสัชชนะ” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
อายุสังขารโวสสัชชนะ : “การสลัดลงซึ่งปัจจัยเครื่องปรุงแต่งอายุ”, การปลงอายุสังขาร, การสละวางการปรุงแต่งอายุ, การเลิกความคิดที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป, ความตกลงปลงใจกำหนดการสิ้นสุดอายุ; ในพุทธประวัติ ที่ว่าพระพุทธเจ้าทรง “ปลงอายุสังขาร” หรือ “ปลงพระชนมายุสังขาร” คือ ทรงพิจารณาเห็นว่า บริษัท ๔ มีคุณสมบัติพร้อม และพรหมจริยะคือพระศาสนานี้ เจริญแพร่หลายไพบูลย์ดีแล้ว จึงตกลงพระทัยว่า (อีก ๓ เดือนแต่นั้นไป) จะปรินิพพาน, อายุสังขารโอสสัชชนะ หรือ อายุสังขาโรสสัชชนะ ก็ว่า.
…………..
นอกจากนี้ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ยังมีคำว่า “อายุสังขาราธิฏฐาน” อีกคำหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกัน บอกไว้ดังนี้ –
…………..
อายุสังขาราธิฏฐาน : การตั้งพระทัยว่าจะดำรงไว้ซึ่งอายุสังขาร, การที่พระพุทธเจ้าตั้งพระทัยกำหนดแน่ว่าจะดำรงพระชนม์อยู่ก่อน จนกว่าพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้เชี่ยวชาญ แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติชอบ สามารถชี้แจงแสดงธรรม กำราบปรัปวาทที่เกิดขึ้นให้สงบได้โดยชอบธรรม ในระหว่างนี้แม้หากมีโรคาพาธเกิดขึ้น ก็จะทรงระงับขับไล่เสียด้วยอิทธิบาทภาวนา จะยังไม่ปรินิพพาน จนกว่าพรหมจริยะคือพระศาสนานี้ จะเจริญมั่นคง เป็นประโยชน์แก่พหูชน เป็นปึกแผ่นแน่นหนา แพร่หลายไพบูลย์; คำนี้ ท่านปรุงขึ้นใช้ในหนังสือปฐมสมโพธิ เพื่อสื่อความหมายที่กล่าวแล้ว; เทียบ อายุสังขารโวสสัชชนะ
…………..
แถม :
คำว่า “อายุสังขาร” เดี่ยว ๆ มีความหมายอย่างไร ได้แสดงไว้แล้ว แต่คำว่า “อายุสังขาร” เกี่ยวเนื่องอยู่กับคำว่า “ปลงอายุสังขาร” จึงควรหาความรู้เรื่องการปลงอายุสังขารเพิ่มเติมต่อไป
เมื่อวันเพ็ญเดือนมาฆะพรรษาสุดท้ายแห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ พระพุทธองค์ทรง “ปลงอายุสังขาร” ตามคำทูลขอของมารที่ขอให้ปรินิพพาน ตรัสว่า อีก 3 เดือนแต่นี้จะปรินิพพาน
คำว่า “ปลงอายุสังขาร” แปลจากคำบาลีว่า “อายุสงฺขารํ โอสฺสชฺชิ” (อา-ยุ-สัง-ขา-รัง โอด-สัด-ชิ) แปลว่า “ปลงแล้วซึ่งอายุสังขาร” หรือแปลงเป็นคำนามว่า “อายุสงฺขารโอสฺสชฺชน” (อา-ยุ-สัง-ขา-ระ-โอด-สัด-ชะ-นะ) แปลว่า “การปลงอายุสังขาร”
เราเข้าใจกันตามที่พจนานุกรมฯ บอกไว้ว่า “ปลงอายุสังขาร” คือ “บอกกำหนดวันสิ้นสุดแห่งอายุ”
การบอกให้คนอื่นรู้ถึงวันสิ้นสุดแห่งอายุ เป็นเพียงบอกว่าจะปรินิพพานเมื่อไร เพียงคำบอกแค่นั้นยังไม่ใช่ความหมายของคำว่า “ปลงอายุสังขาร”
ถ้าเช่นนั้น ความหมายจริง ๆ ของ “ปลงอายุสังขาร” คือทำอะไร หรือทำอย่างไร?
คัมภีรสุมังคลวิลาสินี (อรรถกถาของทีฆนิกาย พระไตรปิฎก) ภาค 2 หน้า 260 ตอนอธิบายมหาปรินิพพานสูตร ขยายความไว้ดังนี้ –
…………..
ตตฺถ น ภควา หตฺเถน เลฑฺฑุํ วิย อายุสงฺขารํ โอสฺสชฺชิ ฯ เตมาสมตฺตเมว ปน นิรนฺตรํ สมาปตฺตึ สมาปชฺชิตฺวา ตโต ปรํ น สมาปชฺชิสฺสามีติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิ ฯ
…………..
อธิบายความว่า การปลงอายุสังขารนั้น ไม่ใช่เหมือนหยิบก้อนดินทิ้ง คืออายุสังขารเหมือนก้อนดิน ปลงคือหยิบก้อนดินทิ้งไป ไม่ใช่อย่างนั้น หากแต่หมายความว่า ทรงตั้งพระทัยว่า จากวันนั้นจักเข้าสมาบัติติดต่อกันเพียง 3 เดือนเท่านั้น ต่อแต่นั้นจักไม่เข้า นั่นคือ การเข้าสมาบัติทำให้สามารถดำรงพระชนม์ต่อไปได้ เมื่อไม่เข้าสมาบัติก็คือพระชนม์สิ้นสุดลง คือปรินิพพาน
นี่คือความหมายของ “ปลงอายุสังขาร” ซึ่งเรามักไม่ค่อยรู้กัน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ทำประโยชน์แก่โลกเพียงหนึ่งวัน
: มีค่าอเนกอนันต์กว่าอยู่เปล่า ๆ ไปร้อยปี
#บาลีวันละคำ (4,853)
25-9-68
…………………………….
…………………………….
