ปากกาล (บาลีวันละคำ 4,850)

ปากกาล
อ่านก็ไม่ถูก
ภาษาอะไรก็ไม่รู้
ไม่มีใครพูด ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครรู้จัก
แต่ถ้ารักจะเป็นชาวพุทธ ต้องรู้ไว้
อ่านว่า ปา-กะ-กาน
ประกอบด้วยคำว่า ปาก + กาล
(๑) “ปาก”
ไม่ใช่คำไทยที่หมายถึง ส่วนหนึ่งของร่างกายคนและสัตว์ อยู่ที่บริเวณใบหน้า คำไทยคำนั้นอ่านว่า ปาก ตรงตัว แต่ “ปาก” คำนี้เป็นคำบาลี อ่านว่า ปา-กะ รากศัพท์มาจาก ปจฺ (ธาตุ = ทำให้สิ้นสุด; หุง, ต้ม; สุก, ไหม้) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ที่ ป-(จฺ) เป็น อา “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (ปจฺ > ปาจ), แปลง จ ที่สุดธาตุเป็น ก (ปจฺ > ปาจ > ปาก)
: ปจฺ + ณ = ปจณ > ปจ > ปาจ > ปาก แปลตามศัพท์ว่า (1) “เป็นที่สุดแห่งเหตุ” (2) “สิ่งที่สุกเสร็จแล้ว” (คือไม่มีส่วนที่ยังดิบเหลืออยู่)
“ปาก” (ปุงลิงค์) หมายถึง สิ่งที่ทำให้สุก, การหุงหาอาหาร, จำนวนที่ปรุงเป็นอาหารแล้ว (that which is cooked, cooking, quantity cooked)
ในที่นี้ “ปาก” ใช้ในความหมายคล้าย “วิปาก” คือหมายถึง ผล, การสำเร็จผล, ผลิตผล; ผลที่เกิดขึ้น, ผลที่เกิดจากเหตุหรือผลของกรรม, ผลกรรม, (fruit, fruition, product; result, effect, retribution)
(๒) “กาล”
บาลีอ่านว่า กา-ละ รากศัพท์มาจาก กลฺ (ธาตุ = นับ, คำนวณ, สิ้นไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ที่ ก-(ลฺ) เป็น อา (กลฺ > กาล)
: กลฺ + ณ = กลณ > กล > กาล (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “เครื่องนับประมาณอายุเป็นต้น” “ถูกนับว่าล่วงไปเท่านี้แล้ว” “ยังอายุของเหล่าสัตว์ให้สิ้นไป” หมายถึง เวลา, คราว, ครั้ง, หน
“กาล” ที่หมายถึง “เวลา” (time) ในภาษาบาลียังใช้ในความหมายที่ชี้ชัดอีกด้วย คือ :
1 เวลาที่กำหนดไว้, เวลานัดหมาย, เวลาตายตัว (appointed time, date, fixed time)
2 เวลาที่เหมาะสม, เวลาที่สมควร, เวลาที่ดี, โอกาส (suitable time, proper time, good time, opportunity)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“กาล ๑, กาล– : (คำนาม) เวลา, คราว, ครั้ง, หน. (ป., ส.).”
ปาก + กาล = ปากกาล บาลีอ่านว่า ปา-กะ-กา-ละ แปลตามศัพท์ว่า “เวลาที่ผลสุก” หมายถึง เวลาที่กรรมให้ผล
ขยายความ :
คำว่า “ปากกาล” เป็นคำที่ใช้เมื่อกล่าวถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรม ซึ่งจำแนกเป็น 3 หมวด คือ –
หมวดที่ 1 จำแนกตามเวลาที่ให้ผล เรียกเป็นศัพท์ว่า “ปากกาล” (ปา-กะ-กาน)
หมวดที่ 2 จำแนกการให้ผลตามหน้าที่ เรียกเป็นศัพท์ว่า “กิจ” (บาลี “กิจฺจ” แปลว่า หน้าที่)
หมวดที่ 3 จำแนกตามความยักเยื้องหรือลำดับความแรงในการให้ผล เรียกเป็นศัพท์ว่า “ปากทานปริยาย” (ปา-กะ-ทา-นะ-ปะ-ริ-ยาย)
รายละเอียดเบื้องต้น ศึกษาได้จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [338] ซึ่งประมวลเรื่อง “กรรม” ในพระพุทธศาสนาไว้ดังนี้ –
…………..
กรรม 12 (การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, ในที่นี้หมายถึงกรรมประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้น — Kamma: karma; kamma; action; volitional action)
หมวดที่ 1 ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล (classification according to the time of ripening or taking effect)
1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้ — Diṭṭhadhamma-vedanīyakamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma)
2. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหน้า — Upapajja-vedanīyakamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life)
3. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพต่อ ๆ ไป — Aparāpariya-vedanīya-kamma: kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma)
4. อโหสิกรรม (กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma)
หมวดที่ 2 ว่าโดยกิจ คือ จำแนกการให้ผลตามหน้าที่ (classification according to function)
5. ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด, กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด — Janaka-kamma: productive kamma; reproductive kamma)
6. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมที่เข้าช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม — Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma)
7. อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน — Upapīḷaka-kamma: obstructive kamma; frustrating kamma)
8. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมเข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น — Upaghātaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma)
หมวดที่ 3 ว่าโดยปากทานปริยาย คือ จำแนกตามความยักเยื้องหรือลำดับความแรงในการให้ผล (classification according to the order of ripening)
9. ครุกกรรม (กรรมหนัก ให้ผลก่อน ได้แก่ สมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม — Garuka-kamma: weighty kamma)
10. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองจากครุกกรรม — Bahula-kamma or Āciṇṇa-kamma: habitual kamma)
11. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย คือกรรมทำเมื่อจวนจะตายจับใจอยู่ใหม่ ๆ ถ้าไม่มี 2 ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น — Āsanna-kamma: death-threshold kamma; proximate kamma)
12. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ, กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมนี้จึงจะให้ผล — Katattākamma or Katattāvāpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏัตตากรรม ก็เขียน
กรรม 12 หรือ กรรมสี่ 3 หมวดนี้ มิได้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นต้น ได้รวบรวมมาจัดเรียงเป็นแบบไว้ในภายหลัง.
…………..
เพราะไม่เข้าใจเรื่อง “ปากกาล” คือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับจังหวะเวลาที่กรรมแต่ละประเภทให้ผลช้า-เร็วแตกต่างกัน จึงทำให้คนส่วนหนึ่ง-ซึ่งเป็นส่วนมาก-สงสัยหรือถึงกับไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม
คนเราทุกคน กรรมดีก็เคยทำ กรรมชั่วก็เคยทำ แต่จังหวะเวลาที่กรรมดี-กรมชั่วจะให้ผลนั้นเร็ว-ช้าต่างกันตามความแรงหรือน้ำหนักของการกระทำ
ตัวอย่างที่พบเห็นเสมอ เช่น –
กรรมดีที่ทำยังไม่ทันให้ผล กรรมชั่วที่เคยทำไว้ถึงเวลาให้ผลก่อน ก็เข้าใจไปว่า ทำดีกลับได้ชั่ว เป็นที่มาของคำประชดว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน”
กรรมชั่วที่ทำยังไม่ทันให้ผล กรรมดีที่เคยทำไว้ถึงเวลาให้ผลก่อน ก็เข้าใจไปว่า ทำชั่วกลับได้ดี เป็นที่มาของคำประชดว่า “ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
พระพุทธศาสนาเป็น “กรรมวาที” คือสอนเรื่องกรรมเป็นหลักสำคัญ แต่ชาวพุทธ (ในเมืองไทย) กลับไม่ศึกษากฎแห่งกรรมให้เข้าใจ
ข้อพิสูจน์คือ พูดว่า “ปากกาล” แทบจะไม่มีใครรู้จักคำนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคำสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เข้าใจกฎแห่งกรรมได้ถูกต้อง
…………..
ดูก่อนภราดา!
: กรรมของใคร?
: ที่ไม่ศึกษาให้เข้าใจกฎแห่งกรรม
#บาลีวันละคำ (4,850)
22-9-68
…………………………….
…………………………….
