อุปกิเลส ๑๖ (๑)

อุปกิเลส ๑๖ (๑)
————-
ญาติมิตรที่เคารพนับถือท่านหนึ่งเขียนมาถึงผมว่า
……
ขอความรู้ค่ะ คือในบทอุปกิเลส ๑๖ ข้อที่กล่าวว่า “มะโท” หมายถึง “ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรมด้วยความชราและความป่วยไข้อยู่เป็นนิจ” อ่านแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจค่ะ ขอความเมตตาอธิบายขยายความเพื่อให้กระจ่างด้วยค่ะ ตอบในเฟสก็ได้ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ขอบพระคุณค่ะ
……
ปกติผมไม่ค่อยอธิบายข้อธรรมะตรงๆ แบบเทศนาโวหาร
แบบนั้นอยากให้เป็นหน้าที่ของพระคุณเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นกิจโดยตรง
ศึกษาธรรม ประพฤติธรรม แล้วนำมาอธิบายบอกกล่าวแก่ญาติโยม เป็นกิจที่หนึ่งของชาววัด
ชาวบ้านอย่างผมเป็นแค่ผู้ช่วย
เวลานี้เบี่ยงเบนไปหมด
ศึกษาธรรมเพื่อสอบได้
สอบได้แล้ว ถือว่าจบกิจ หยุดแค่นั้น
ปฏิบัติธรรม เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นำเอาความรู้มาเผยแผ่บอกกล่าว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง-ที่อยู่ไกลออกไปอีกจนมองแทบไม่เห็น
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าคณะสงฆ์ควรมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้ความรู้ความเข้าใจหลักธรรมคำสอน รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับพระธรรมวินัยตลอดจนพิธีกรรมพิธีการต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน
เวลานี้ใครสงสัยอะไรขึ้นมาก็ไม่มีศูนย์กลางที่จะให้คำตอบอันเป็นมาตรฐานของคณะสงฆ์ได้
เทียบให้เห็นง่ายๆ
เวลาเกิดเหตุร้าย อุบัติเหตุ โจรกรรม อาชญากรรม เราเข้าใจตรงกันทั่วโลกว่า ต้องไปแจ้งตำรวจ
แล้วเรื่องก็จะลื่นไหลไปตามกระบวนการขั้นตอน
ชัดเจน แน่นอนว่าใครต้องทำอะไร
แต่ถ้าใครสงสัยเรื่องอะไรในพระพุทธศาสนา ถามว่าจะไปแจ้งที่ไหน?
ไม่มี
อีกสักอุปมาหนึ่ง
เวลานี้ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อเซเว่นอีเลฟเว่นมีอยู่แทบจะทุกถนนในเมืองไทย
หิวเมื่อไรก็แวะมา – เป็นที่รู้กัน-แม้แต่เด็กๆ
แต่ถ้าใครสงสัยเรื่องอะไรในพระพุทธศาสนา ถามว่าจะแวะไปหาคำตอบที่ไหน
ไม่มี
อันที่จริงร้านสะดวกซื้อที่ว่านั่นเพิ่งปรากฏตัวขึ้นในสังคมไทยเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ ในขณะที่วัดวาอารามในพระพุทธศาสนามีอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน
กล่าวได้ว่ามีวัดอยู่ทุกหนทุกแห่งในเมืองไทย
แต่ไม่มีใครทำวัดให้เป็นศูนย์กลางแห่งปัญญา-สงสัยอะไรก็แวะมา
ตรงกันข้าม เวลานี้ใครสงสัยอะไร แวะเข้าไปในวัด ท่านจะไม่เจอใครสักคนที่จะพูดคุยอะไรด้วยได้
ปวดหนักปวดเบา แวะเข้าไปขอใช้ห้องน้ำยังไม่ได้เลย จะบอกให้
เราบริหารจัดการวัดกันแบบไหน
ไม่รู้
อย่าถาม
รำคาญ
……….
ใครสงสัยอะไร อยากรู้อะไร นอกจากใครรู้จักใครก็ไปถามกันเองเป็นส่วนตัว-อย่างที่มีญาติมิตรถามมาที่ผมนั่นเป็นต้น- คำตอบที่ได้จะถูกจะผิดอย่างไร ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันยืนยันได้ แล้วแต่ใครจะเชื่อใคร
ตัวใครตัวมัน
ถามว่า คณะสงฆ์จัดตั้งศูนย์หรือหน่วยอะไรขึ้นมาสักอย่างเพื่อทำหน้าที่นี้ ทำได้ไหม
โดยศักยภาพและทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ สามารถทำได้สบายมาก และทำได้อย่างดีด้วย
แต่ท่านไม่ทำ
และไม่คิดจะทำด้วย
ไม่ว่าใครจะเสนออะไรอย่างไร ท่านไม่ฟังและไม่รับรู้ทั้งสิ้น
ถึงรับรู้ก็ไม่ทำ ใครจะทำไม
น่าสลดใจเป็นที่สุด
เพราะฉะนั้น ชาวบ้านด้วยกันก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป เท่าที่พอจะทำได้
อุปมาเหมือนอยู่ในบ้านเมืองที่ไม่มีโรงพยาบาล
เพราะผู้บริหารบ้านเมืองท่านไม่ตั้ง
ผู้คนพลเมืองเจ็บป่วยก็ต้องรักษากันไปตามบุญตามกรรม-ฉันใดก็ฉันนั้น
——————
ตอนนี้ขอบ่นแค่นี้ก่อนครับ
เดี๋ยวค่อยตอบเรื่องอุปกิเลส
…………..
แต่ถ้ามีพระคุณเจ้ารูปไหนชิงตัดหน้าตอบให้ก่อนได้
จะขอกราบแทบเท้าขอบพระคุณมา ณ ที่นี้
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
๑๗:๑๓
————-
Parnarai Sapayaprapa
อ.คะ ขอความรู้ค่ะ คือในบทอุปกิเลส ๑๖ ข้อที่กล่าวว่า “มะโท” หมายถึง “ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรมด้วยความชราและความป่วยไข้อยู่เป็นนิจ” อ่านแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจค่ะ ขอความเมตตาอธิบายขยายความเพื่อให้กระจ่างด้วยค่ะ ตอบในเฟสก็ได้ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ขอบพระคุณค่ะ
