อุโบสถศีล

อุโบสถศีล
———–
เมื่อวาน (๑๐ กันยายน ๒๕๕๙) ผมเขียนเรื่อง “มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยในฝัน” ขึ้นต้นว่า –
…………..
เมื่อวันโกน (๘ กันยายน ๒๕๕๙, ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๐) ผมตั้งใจสมาทานอุโบสถศีล “วันรับ” ตั้งแต่รุ่งอรุณตามปกติ …
…………..
มีญาติมิตรสงสัยว่า คำว่า สมาทานอุโบสถศีล “วันรับ” หมายความว่าอย่างไร
—————-
ขออนุญาตอธิบายง่ายๆ อย่างนี้ครับ
ตามที่ชาวพุทธทราบทั่วกัน วันพระเป็นวันสมาทานอุโบสถศีล
วันพระนั้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วันธรรมสวนะ” แปลว่า วันฟังธรรม
ตรงนี้มีคาถาบทหนึ่งที่น่าจะเคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ คือบทที่ว่า
จาตุทฺทสี ปณฺณรสี………..ยา จ ปกฺขสฺส อฏฺฐมี
กาลา พุทฺเธน ปญฺญตฺตา….สทฺธมฺมสฺสวนสฺสิเม.
แปลว่า –
วัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์
วันเหล่านี้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้เป็นวันฟังธรรม
………
ขยายความว่า เดือนหนึ่งมีประมาณ ๓๐ วัน แบ่งครึ่งได้ครึ่งละ ๑๕ วัน
ครึ่งหนึ่งที่ว่านี้เรียกว่า “ปักษ์” แปลว่า ฝ่าย หรือข้าง
เป็นอันว่าเดือนหนึ่งมี ๒ ปักษ์ ปักษ์ละประมาณ ๑๕ วัน
ข้างขึ้นเรียกว่า “ศุกลปักษ์” แปลว่า ปักษ์ขาว คือปักษ์สว่าง กำหนดด้วยดวงจันทร์สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสว่างเต็มดวง
ข้างแรมเรียกว่า “กาฬปักษ์” แปลว่า ปักษ์ดำ คือปักษ์มืด กำหนดด้วยดวงจันทร์ลดความสว่างลงเรื่อยๆ จนถึงดับหมดดวง
การนับวัน นับทางจันทรคติ คือวันขึ้นแรม (ไม่ใช่วันที่ ๑ วันที่ ๒ ..) ของเดือนไทย (เดือนทางจันทรคติ) คือเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือน ๓ เดือน ๔ ไปจนถึงเดือน ๑๒
เริ่มต้นเดือนเป็นศุกลปักษ์ คือข้างขึ้น เริ่มด้วยขึ้นค่ำ ๑ (คำเก่าของไทยเรียกวันแรกนี้ว่า “ค่ำ ๑” ไม่ใช่ “๑ ค่ำ”) ขึ้น ๒ ค่ำ เรื่อยไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของศุกลปักษ์
แล้วต่อด้วยกาฬปักษ์ คือข้างแรม เริ่มต้นด้วยแรมค่ำ ๑ เรื่อยไปจนถึงแรม ๑๕ ค่ำ เป็นวันสุดท้ายของกาฬปักษ์
แต่มีหลักกำหนดว่า ถ้าเป็นเดือนคี่ คือเดือนที่เป็นเลขคี่ (๑..๓..๕..๗..๙..๑๑) จะไม่มีแรม ๑๕ ค่ำ วันสุดท้ายของกาฬปักษ์จะหมดเพียงแรม ๑๔ ค่ำเท่านั้น เรียกกันเป็นสามัญว่า “เดือนขาด” แล้วต่อด้วยขึ้นค่ำ ๑ ของศุกลปักษ์ต่อไป
เพราะฉะนั้นในคาถาข้างต้นจึงระบุชื่อวันพระไว้ ๓ ชื่อ คือ
ปณฺณรสี = ๑๕ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
อฏฺฐมี = ๘ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
จาตุทฺทสี = แรม ๑๔ ค่ำ (ในกรณีเดือนขาด)
สรุปว่า เดือนหนึ่งจะมีวันพิเศษ ๔ วัน เรียกกันทั่วไปว่า “วันพระ”
จะเรียกว่า “วันธรรมสวนะ” ก็ได้ หมายถึงเป็นวันฟังธรรม
หรือจะเรียกว่า “วันอุโบสถ” ก็ได้ หมายถึงเป็นวันถืออุโบสถศีล
บอกเรื่อง “อุโบสถศีล” ไว้ตรงนี้เลย เผื่อใครจะสงสัย
ชาวพุทธตามมาตรฐาน ท่านว่าย่อมถือเบญจศีล คือศีล ๕ เป็นปกติ
ขออนุญาตขายมะพร้าว – ศีล ๕ ก็คือ –
เว้นการฆ่า
เว้นการลักขโมยฉ้อโกง
เว้นการละเมิดทางเพศ
เว้นการกล่าวเท็จ
เว้นการเสพของมึนเมา
ครั้นพอถึงวันพระ ท่านนิยมถือศีลเพิ่มขึ้นอีก ๓ ข้อ คือ –
เว้นการบริโภคอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงวันไปจนถึงรุ่งอรุณวันใหม่
เว้นการบันเทิงเริงรมย์/ดูหนังฟังเพลง/แต่งกายประเทืองโฉม
เว้นการนั่งนอนโดยใช้อุปกรณ์เสพสุขรูปแบบต่างๆ เช่นเตียงนอนหรูหรา
(๓ ข้อนี้ผมกลั่นเอาใจความออกมาเพื่อให้เห็นทางปฏิบัติ ไม่ได้ใช้คำตามต้นฉบับ)
รวม ๓ ข้อกับเบญจศีลอีก ๕ ข้อข้างต้นเข้าด้วยกันเป็น ๘ ข้อ เรียกว่า “อุโบสถศีล”
อนึ่ง เมื่อรวมเข้าเป็นอุโบสถศีลเช่นนี้ ข้อ ๓ ในเบญจศีลท่านให้เปลี่ยนเจตนารมณ์ใหม่ คือไม่ใช่แค่เว้นการละเมิดทางเพศ แต่ให้งดเว้นกิจกรรมทางเพศโดยสิ้นเชิง แม้แต่กับคู่ครองของตน
คือเบญจศีลข้อ ๓ คำสมาทานว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี
ให้เปลี่ยนเป็น อพฺรหฺมจริยา เวรมณี
เรียกรู้กันด้วยภาษาวิชาการแบบภาษาปากว่า “เปลี่ยนจากกาเมเป็นอพรหม”
เมื่อจะถือศีลทั้ง ๘ ข้อนี้ในวันพระ ท่านให้ประมวลเข้าด้วยกันเสมือนว่าเป็นข้อเดียว คำพระว่า “อฏฺฐงฺคสมนฺนาคต” (อัด-ถัง-คะ-สะ-มัน-นา-คะ-ตะ) แปลว่า อุโบสถศีลประกอบด้วยองค์ ๘ เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือน eight in one นั่นแล
ศีลทั้ง ๘ ข้อดังแสดงมานี้ท่านกำหนดให้รักษาตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งในวันอุโบสถ คือ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ จึงเรียกว่า “อุโบสถศีล”
สรุปว่า เดือนหนึ่งมีวันถืออุโบสถศีล ๔ วัน
—————-
ทีนี้ก็เข้าเรื่อง (เสียที)
คือวันถืออุโบสถศีลเดือนละ ๔ วันนี้ โบราณาจารย์ท่านประสงค์จะขยายวันเวลาแห่งการทำความดีให้มากขึ้น จึงให้เพิ่มวันถืออุโบสถศีลล่วงหน้าวันหนึ่ง และส่งท้ายอีกวันหนึ่ง
วันที่ถือล่วงหน้า เรียกว่า “วันรับ” อุปมาเหมือนแขกมาเยี่ยมบ้าน เราก็ทำพิธี “รับแขก”
วันอุโบสถจริง เรียกว่า “วันถือ” คือเป็นวันถืออุโบสถศีลตามกำหนดเดิม อุปมาเหมือนแขกมาพักค้างอยู่ในบ้าน ทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่กำหนดไว้
วันรุ่งขึ้น ถืออุโบสถศีลอีกวันหนึ่ง เรียกว่า “วันส่ง” อุปมาเหมือนแขกจะกลับ เราก็ทำพิธี “ส่งแขก”
เรื่องก็มีเท่านี้
จำสั้นๆ ง่ายๆ ว่า สัปดาห์หนึ่งถืออุโบสถศีล ๓ วัน คือ วันโกน วันพระ หลังวันพระ
วันโกน เรียกว่า “วันรับ”
วันพระ เรียกว่า “วันถือ”
หลังวันพระ เรียกว่า “วันส่ง”
แต่โปรดเข้าใจว่า ใครจะถือแบบเดิม คือถือเฉพาะวันพระวันเดียวก็ได้
ใครมีศรัทธาอุตสาหะจะถือแบบมีวันรับวันส่งเพิ่มขึ้นก็ได้
(หรือใครยังไม่มีศรัทธา จะไม่ถือเลยสักวัน ก็ไม่มีใครว่าอะไร)
เมื่อก่อนผมก็ถือเฉพาะวันพระวันเดียว
ปฏิบัติมาตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่าๆ
แต่เดี๋ยวนี้เพิ่มวันรับวันส่งเข้าไปอีกด้วย
ปฏิบัติมาราวๆ ๔ -๕ ปีเข้านี่แล้วครับ
เบา-สบายเพิ่มขึ้น
—————–
เรื่องถืออุโบสถศีลนี้ในคัมภีร์ท่านแสดงรายละเอียดไว้ยืดยาว ผมไม่ได้ยกมาอ้างอิง
เท่าที่พูดมานี้ก็แย่งหน้าที่พระมามากแล้ว
ญาติมิตรท่านใดมีกุศลจิตจะช่วยกันหยิบยกขึ้นมาบูรณาการ เป็นการเติมเต็มความรู้และหลักปฏิบัติให้แก่เพื่อนมนุษย์ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ กันยายน ๒๕๕๙
๑๒:๑๗
