อุบาสิการัญจวน

อุบาสิการัญจวน
—————-
ผมรู้จักอุบาสิการัญจวนเหมือนกับที่คนส่วนมากรู้จัก คือเคยได้ยินชื่อ เคยเห็นรูป เคยฟังเสียงทางวิทยุ-โทรทัศน์ แต่ไม่เคยรู้จักตัว
ผมได้เห็นชื่อท่านตั้งแต่สมัยผมเป็นสามเณร อ่านหนังสือชัยพฤกษ์ และ วิทยาสาร อันเป็นนิตยสารที่อยู่ในแวดวงการศึกษา ท่านรับราชการอยู่กระทรวงศึกษาธิการ จึงมีเรื่องของท่านปรากฏในหนังสือดังกล่าวอยู่เนืองๆ
จำได้ว่าตอนนั้นท่านเป็น “นางสาวรัญจวน อินทรกำแหง”
บทบาทของท่านที่ผมได้ยินคือ อาจารย์วิชาบรรณารักษ์ ในฐานะที่ผมชอบอ่านหนังสือ จึงรู้สึกว่าท่านเป็นผู้รู้เรื่องห้องสมุดดีที่สุด ถึงระดับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งในประเทศไทย ในสมัยที่คนไทยเพิ่งจะเริ่มตื่นตัวและเห็นคุณค่าของห้องสมุด
เอ่ยชื่ออาจารย์รัญจวน จะต้องมองเห็นห้องสมุดติดมาด้วย
เห็นห้องสมุดที่ไหน เป็นต้องนึกถึงอาจารย์รัญจวนทุกทีไป
ต่อมาวันหนึ่งก็ได้ยินคนเรียกขานนามท่านว่า “อาจารย์คุณรัญจวน อินทรกำแหง”
ฟังทีแรกรู้สึกแปลกๆ
ได้ยินผู้รู้อธิบายว่า ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า
ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า
ถึงชั้นทุติยจุลจอมเกล้า ถ้าเป็นสตรีที่สมรสแล้ว มีสิทธิ์ใช้คำนำหน้านามว่า “คุณหญิง” ถ้าเป็นสตรีโสดใช้คำนำหน้านามว่า “คุณ”
อาจารย์รัญจวนท่านเป็นโสด ท่านจึงเป็น “คุณรัญจวน อินทรกำแหง”
คนทั้งหลายที่นับถือท่านในฐานะเป็นอาจารย์ก็เลยเรียกรวมกันไปว่า “อาจารย์คุณรัญจวน อินทรกำแหง”
ไม่ได้หมายถึงอาจารย์ของอาจารย์รัญจวน แต่หมายถึงตัวอาจารย์รัญจวนเอง
เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่า “คุณ” นำหน้าชื่อบุคคลทั่วไปโดยไม่เกี่ยวกับการได้รับเครื่องราชฯ ชั้นไหนๆ ถือว่าเป็นคำสุภาพ
บางท่านที่ถือเคร่งหลักภาษาไทย จึงไม่ยอมใช้ “คุณ” นำหน้าชื่อใครที่ไม่ใช่ “สตรีที่ยังไม่ได้สมรสและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าขึ้นไป”
แต่เดี๋ยวนี้คงจะไม่มีใครว่าอะไรกันแล้ว เพราะพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานยอมรับแล้วว่า “คุณ” เป็นภาษาปาก ใช้แทนผู้ที่เราพูดถึงด้วยความสุภาพ
————–
อาจารย์รัญจวนท่านสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วย สถานภาพของท่าน ที่ผมได้ยินมาในระยะหลังนี่ก็คือ “อุบาสิกาคุณรัญจวน” (ยังมีคำว่า “คุณ” ตามศักดิ์และสิทธิ์แห่งเครื่องราชฯ ติดอยู่ด้วย) ได้ยินว่าท่านถือศีลแปด โกนผม แต่ไม่ได้บวช
ชาวบ้านทั่วไปที่เป็นชาวพุทธ ผู้ชายเรียก อุบาสก ผู้หญิงเรียก อุบาสิกา ถือว่าเป็นคำเรียกปกติ
ที่วัดมหาธาตุ ราชบุรีบ้านผม มีสำนักชื่อ “ประชุมนารี” เป็นที่สำหรับสตรีมาถือบวชจำศีล คือโกนผม นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลแปด ใช้คำนำหน้าเรียกกันเป็นสามัญว่า “แม่ชี” เช่น แม่ชีสายทอง แม่ชีส้มแป้น แต่บางทีก็มีคนเรียกว่า “อุบาสิกา” อุบาสิกาสายทอง อุบาสิกาส้มแป้น
แม่ชี หรืออุบาสิกาแบบโกนผม นุ่งขาวห่มขาวนี้ สังคมถือกันว่าเป็นนักบวช แต่กฎหมายถือว่าเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่นักบวช
ไปเลือกตั้ง กกต. บอกว่า ไม่มีสิทธิ์ เพราะเป็นนักบวช
ขึ้นรถไฟ พนักงานหนีบตั๋วบอกว่าต้องเสียเต็มราคา เพราะไม่ใช่นักบวช
ไม่ทราบว่าตอนนี้ตกลงกันอย่างไร
น่าสังเกตว่า ประเด็นปัญหาอะไรๆ ของชาวพุทธนี่ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบท่านมักจะปล่อยให้คาราคาซัง ไม่ตัดสินลงไปให้เด็ดขาด ชอบกลมาก
อย่างกรณีสตรีบวชเป็นภิกษุณี ทั้งๆ ที่โดยหลักพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาเถรวาทภิกษุณีขาดสูญไปนานแล้ว แต่เวลานี้ภิกษุณีมีให้เห็นที่นั่นที่นี่ออกจะเกร่อ ผู้มีอำนาจหน้าที่ก็ไม่ตัดสินให้สังคมได้ยินกันชัดๆ
บางแห่งก็มีพระในคณะสงฆ์ไทยนี่แหละสนับสนุน เช่นไปร่วมในพิธีบวชให้ด้วย
ผมได้อ่านผ่านตาแวบๆ เมื่อไม่นานมานี้ว่า มจร. ให้ปริญญากิตติมศักดิ์หรืออะไรสักอย่างแก่ภิกษุณีชื่อเป็นไทยๆ
สหายธรรมคนหนึ่งของผม เคยมาถืออุโบสถศีลด้วยกันที่วัดมหาธาตุ อยู่มาวันหนึ่งก็โกนผมห่มจีวรเหมือนพระไปเรียบร้อยแล้ว ข่าวว่าตอนนี้ไปอยู่แถวจังหวัดเชียงใหม่
ผู้ที่ค่อนข้างรู้บอกว่า ภิกษุณีที่แสดงตัวในสังคมไทยอยู่ในเวลานี้เป็นภิกษุณีสังกัดมหายาน เถรวาทไม่มีภิกษุณี แต่มหายานมีภิกษุณี
แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินภิกษุณีรูปไหนหรือสำนักไหนในเมืองไทยประกาศตัวชัดแจ้งว่าเป็นภิกษุณีมหายาน เห็นแต่พยายามจะอิงกับเถรวาท คือพยายามจะเป็นภิกษุณีเถรวาทให้จงได้
เพราะไม่มีใครยกพระธรรมวินัยขึ้นมาชี้ขาดเช่นนี้แหละ เพื่อนผมคนหนึ่งก็เลยพูดติดตลกว่า คณะสงฆ์คือคณะแห่งความล้มเหลว
————–
ผู้ที่ออกบวชในพระพุทธศาสนาย่อมมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการประพฤติปฏิบัติธรรมให้ได้เต็มที่ ดังคำในพระไตรปิฎกที่บรรยายความคิดของผู้ออกบวชที่รำพึงว่า
… ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี …
ที่ว่าปฏิบัติธรรมให้ได้เต็มที่ ก็คือปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล
ไม่ว่าคนทุกวันนี้จะบวชเพื่ออะไรก็ตาม แต่อุดมคติอุดมการณ์ของการบวชในพระพุทธศาสนาก็ต้องดำรงอยู่เช่นเดิม
ความจริง กิจวัตรที่ท่านกำหนดไว้ว่าบวชแล้วต้องทำอะไรบ้างและต้องไม่ทำอะไรบ้าง ล้วนแต่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ใครจะทำได้มากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องปฏิบัติ และต้องพยายามปฏิบัติ
ถ้าใครที่บวชแล้วบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครไปนิพพานได้อีกแล้ว-แล้วก็เลยไม่ปฏิบัติธรรม บวชแล้วอยู่เฉยๆ หรือไม่ก็เพลิดเพลินไปกับการทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อมรรคผล-นั่นคือทรยศต่ออุดมการณ์
ความที่ว่ามานี้ต้องการจะโยงไปที่การบวชเป็นภิกษุณี
ถ้าเป็นภิกษุณีเพื่อจะปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลให้ได้ในเพศภิกษุณี – แบบนี้ย่อมสมควร
แต่ถ้าเป็นภิกษุณีเพื่อจะได้ “เป็น” อะไรขึ้นมาสักอย่างที่ใจปรารถนาจะเป็น – แบบนี้ไม่สมควร
แม้ในพระไตรปิฎกจะบอกว่า … ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี … แต่ในพระไตรปิฎกนั่นเองก็ปรากฏว่า ฆราวาสสามารถปฏิบัติธรรมและบรรลุมรรคผลได้จนถึงระดับอนาคามีบุคคล
นั่นก็แปลว่า ถึงไม่บวชก็มีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้
ถ้าบวชแล้วมีปัญหาทางพระธรรมวินัยให้ต้องถกเถียง ก่อความยุ่งยากในหมู่คณะ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะบวชทำไม
เถียงกันว่า เวลานี้เมืองไทยบวชภิกษุณีในเถรวาทได้หรือไม่ได้
แค่นี้ก็จะฆ่ากันตายแล้ว
ไม่บวชก็ปฏิบัติธรรมบรรลุมรรคผลได้
บวชแล้ว ต้องมาเถียงกันว่าถูกหรือผิด
ผู้เป็นบัณฑิตย่อมไม่สร้างปัญหาให้สังคม
————–
ผมนับถืออาจารย์รัญจวนมาตั้งแต่ท่านเป็น “นางสาวรัญจวน อินทรกำแหง”
อาจารย์วิชาบรรณารักษ์
ท่านออกจากราชการแล้วหันมาทำงานทางพระศาสนา ก็ยิ่งเคารพในปฏิปทาของท่าน
เห็นท่านถือเพศเป็น “อุบาสิกา” โกนผม นุ่งดำ ใส่ขาว ก็ยิ่งอนุโมทนา
ผมเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เห็นอุบาสกอุบาสิกาที่มาถืออุโบสถศีลนอนค้างวัดในวันพระเขาก็แต่งตัวกันแบบนี้ คือนุ่งดำ ใส่ขาว
อุบาสกอุบาสิกาที่มาถืออุโบสถศีลนอนค้างวัดมหาธาตุ ราชบุรี ทุกวันพระทุกวันนี้ก็แต่งชุดนี้ คือนุ่งดำ ใส่ขาว
พวกเรานุ่งดำใส่ขาว ถือศีลแปดกันเฉพาะวันพระ
แต่อาจารย์รัญจวนท่านนุ่งดำใส่ขาว ถือศีลแปดทุกวัน ซ้ำโกนผมด้วย
เท่านี้ท่านก็ปฏิบัติธรรมได้เต็มที่
เป็นนักบวชที่ไม่ต้องบวชให้สังคมถกเถียงกันวุ่นวายว่าถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า
ขอคารวะท่านอาจารย์อุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง มา ณ ที่นี้
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
๑๘:๓๘
———-
อุบาสิการัญจวนถึงแก่อนิจกรรมแล้วสิริอายุรวม94ปี
อุบาสิการัญจวนถึงแก่อนิจกรรมแล้ว สิริอายุรวม 94 ปี ตั้งศพบำเพ็ญกุลที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
2พ.ค.2559 ศาสตราจารย์อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง วิปัสสนาจารย์ ศิษย์พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) หรือหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ และ พระโพธิญาณเถระ (หลวงพ่อชา) ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา เมื่อจันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม เวลา 15.20 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ศิริอายุรวม 94 ปี 11 เดือน 2 วัน
พิธีอาบน้ำศพ จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ค. สวดพระอภิธรรมเวลา 19.00 น. วันที่ 3, 4 และ 6 พ.ค. และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 7 พ.ค. เวลา. 14.00 น. ณ. ศาลาบำเพ็ญกุศล(เมรุ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
ทั้งนี้ศาสตราจารย์อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง เกิดเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 ที่บ้านบางรัก อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เป็นบุตรีพันเอก พระศรีพิชัยบริบูรณ์ (เหมือน) และนางเชย อินทรกำแหง มีพี่และน้องคือพี่ชายร่วมบิดา นายอมร อินทรกำแหง น้องชายร่วมบิดาและมารดา นายสาทิส อินทรกำแหง
ได้เข้ารับการศึกษาโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนสุรนารีวิทยา โรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย วิทยาลัยครูสุนันทา และไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา คือ Florida State University, Tallahassee , Florida U.S.A. จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท
เมื่อเดินทางกลับประเทศไทยเข้ารับราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นครูโรงเรียนสตรีกัลยาณวัตร (ขอนแก่น) โรงเรียนสุรนารีวิทยา (นครราชสีมา) โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (กรุงเทพฯ) ตามลำดับ ศึกษานิเทศก์ห้องสมุดโรงเรียน เลขานุการกรมวิสามัญศึกษา ผู้อำนวยการกองการสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ การดูงานและการประชุมต่างประเทศ ในเรื่องห้องสมุดและการศึกษา : สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย ฝรั่งเศส เยอรมนี
พร้อมกันนี้ยังได้เป็นอาจารย์พิเศษวิชาบรรณารักษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร การวิจารณ์หนังสือ : โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศและวิทยาลัยการทัพอากาศ
งานสมาคม เป็น นายกสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ( 3 สมัย) กรรมการสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย กรรมการสมาคมสตรีอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย กรรมการสมาคมการศึกษาแห่งประเทศไทย ประธานศูนย์ความเข้าใจอันดีระหว่างชาติ ลาออกจากราชการ พ.ศ. 2515
งานหลังจากลาออกจากราชการ เป็นอาจารย์พิเศษประจำภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประธานสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (พ.ศ.2517-2519)
ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น จตุตถจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้า
เกียรติคุณที่ได้รับ ปริญญาปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบรรณารักษศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. 2524 รางวัลวรรณกรรมไทยชมเชย มูลนิธิธนาคารกรุงเทพ เรื่อง “สวนโมกข์ทำไม? ทำไมสวนโมกข์?” ภาคสอง พ.ศ. 2537 รางวัลและประกาศเชิดชูเกียรติในฐานะบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นในการเสริมสร้างสันติภาพและสันติสุขในสังคมไทย จากคณะกรรมการกองทุนการศึกษาเพื่อสันติภาพ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต) พ.ศ. 2542 รางวัล “ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นผ่านสื่อวิทยุโทรทัศน์” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี 2544 รางวัล “นราธิป” วรรณกรรมดีเด่น สำหรับนักเขียนอาวุโส สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546 รางวัล “Qutstanding Woman in Buddhism” เนื่องในวาระวันสตรีสากลโลกขององค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2548
งานเขียนด้านวิชาการ (สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์) การบริหารงานห้องสมุด ห้องสมุดโรงเรียน การเลือกหนังสือ การเลือกวารสารและหนังสือพิมพ์ วรรณกรรมสำหรับเด็ก วรรณกรรมผู้ใหญ่ วรรณกรรม : ภาพชีวิตจากนวนิยาย , วรรณกรรมวิจารณ์ ด้านธรรมะ : ลอยธรรมะมาลัย , สวนโมกข์ทำไม? ทำไมสวนโมกข์? , ภาคแรกและภาคสอง , ก่อนหยุด – หยุดก่อน , การบริหารจิตเพื่อพิชิตปัญหา ฯลฯ
พร้อมกันนี้เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลการส่งเสริมการศึกษาเพื่อสันติภาพเช่นเดียวกันพระพรหมคุณากรณี (ป.อ.ปยุตโต) และได้รับรางวัล Outstanding Woman in Buddhism ในวาระวันสตรีสากลโลกจากองค์การสหประชาชาติ
ศาสตราจารย์อุบาสิการัญจวนพำนักปฏิบัติธรรม อยู่ ณ วัดหนองป่าไผ่ ตำบลดงมะไฟ จังหวัดสกลนคร และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงอนิจกรรมในที่สุด
…………………………
(หมายเหตุ : ภาพและประวัติจาก http://www.kanlayanatam.com/Myimage-index/bio_ranjuan.htm และคลิป https://www.youtube.com/watch?v=OWGUALctuAM)
——
คุณ ๑, คุณ-
[คุน, คุนนะ-] น. ความดีที่มีประจําอยู่ในสิ่งนั้น ๆ; ความเกื้อกูล เช่น รู้คุณ. (ป., ส.); คําที่ใช้เรียกนําหน้าบุคคลเพื่อแสดงความยกย่อง เช่น คุณพ่อ คุณแม่ คุณสมร; คํานําหน้าชื่อสตรีที่ยังไม่ได้สมรสและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าถึงชั้นทุติยจุลจอมเกล้า, คำนำหน้าชื่อสตรีที่ยังไม่ได้สมรสและได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษขึ้นไป; (ไว) คําแต่งชื่อ.ส. คําใช้แทนผู้ที่เราพูดด้วย เป็นคําสุภาพ, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒, (ปาก) คําใช้แทนผู้ที่เราพูดถึงด้วยความสุภาพ, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓, เช่น คุณอยู่ไหม ช่วยไปเรียนว่ามีคนมาหา.
