บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

สวดมนต์ข้ามปี

สวดมนต์ข้ามปี

—————

ช่วงปลายปีที่ผ่านมาญาติมิตรทั้งหลายคงจะได้ยินได้เห็นคำว่า “สวดมนต์ข้ามปี” กันชุกชุม 

ผมไปทำบุญวันพระ หลวงพ่อท่านก็ปรารภคำนี้ ท่านว่าเมื่อก่อนก็ไม่ได้เรียกกันอย่างนี้

ผมมาอยู่วัดมหาธาตุ ราชบุรี เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ จำได้แม่นเพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันปีใหม่ ตอนนั้นวัดมหาธาตุก็มีสวดมนต์ในคืนสิ้นปีแล้ว เรียกกันว่า “สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” 

ขั้นตอนก็คือ เวลาประมาณห้าทุ่มพระสงฆ์ทั้งวัดลงชุมนุมกันในอุโบสถ ทำวัตรเย็นแล้วสวดมนต์เช่นที่ทำเป็นกิจวัตร แล้วรอจนกระทั่งถึงเวลา ๒๔:๐๐ ได้สัญญาณจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าขึ้นปีใหม่แล้ว พระสงฆ์ก็เจริญชัยมงคลคาถา ย่ำกลองย่ำระฆัง 

ชาวบ้านรอบๆ วัดได้ยินเสียงกลองเสียงระฆังก็อนุโมทนาสาธุรับรู้รับทราบว่าพระสงฆ์ท่านแผ่สิริมงคลให้ปวงประชาชนในโอกาสขึ้นปีใหม่

เวลานั้น คำว่า “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” นิยมพูดกันทั่วไป รวมทั้งคำว่า สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 

แต่ไม่มีใครพูดว่า “สวดมนต์ข้ามปี”

สาระสำคัญของการสวดมนต์ “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” ก็คือพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติและประชาชน

ต่างจาก “สวดมนต์ข้ามปี” ที่ทำกันเดี๋ยวนี้ที่ประชาชนมาสวดมนต์กันเอง หรือสวดร่วมกับพระ โดยไม่รู้ว่าใครสวดให้ใคร หรือมองอีกแง่หนึ่งได้ว่า ประชาชนไม่ต้องรอรับสิริมงคลจากพระสงฆ์อีกแล้ว เพราะสวดเอาเองได้แล้ว-อะไรประมาณนั้น

ดูๆ ไปก็ชอบกลอยู่

คำว่า “สวดมนต์ข้ามปี” น่าจะมีผู้เรียกกันมาไม่เกิน ๒๐ ปีมานี้

เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างหนึ่งของภาษาลักษณะนี้ นั่นคือ มักจะไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าใช้กันมาตั้งแต่เมื่อไร ใครคือผู้ใช้เป็นคนแรก

ผมเข้าใจว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาจะมีหน่วยงานทำหน้าที่บันทึกประวัติของถ้อยคำภาษาที่ผู้คนใช้พูดกัน

น่าเสียดายที่บ้านเรายังไม่มีใครคิดจะตั้งหน่วยงานแบบนั้น

“สวดมนต์ข้ามปี” เป็นคำที่ว่า “ติดตลาด” คือพูดง่าย เข้าใจง่าย 

“ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” ก็เคยติดตลาด แต่เมื่อเทียบกันแล้ว “สวดมนต์ข้ามปี” ได้เปรียบตรงที่กระชับกว่า

แต่ข้อจำกัดของ “สวดมนต์ข้ามปี” ก็คือใช้ได้เรื่องเดียว ในขณะที่ “ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” ใช้ได้กว้างขวางกว่า

สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ทำบุญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ปฏิบัติธรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

จัดเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

สังสรรค์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

————

สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่สมัยโน้นทำกันเฉพาะคนวัดคือพระภิกษุสามเณร มีเด็กวัดเป็นตัวประกอบบ้างเล็กน้อย ไม่มีชาวบ้านมาร่วมด้วย เพราะชาวบ้านสมัยโน้นถือว่าการสวดมนต์ในโอกาสเช่นนี้เป็นกิจของพระ คือพระสวดมนต์ให้เป็นสิริมงคลแก่ประชาชน จึงไม่ใช่โอกาสที่ชาวบ้านจะไปสวดมนต์ร่วมกับพระ หรือสวดแทนพระ 

จะว่ากันไปแล้ว สมัยโน้นชาวบ้านสวดมนต์ร่วมกับพระ ผมก็ไม่เคยเห็น

เคยได้ยินบางท่านให้เหตุผลว่า มีสิกขาบทบัญญัติว่า ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน (คือบุคคคลที่ไม่ใช่ภิกษุภิกษุณี) ถ้าสวดพร้อมกันต้องอาบัติ 

ท่านตีความว่าสวดมนต์พร้อมกันเข้าข่ายสิกขาบทนี้ หรือแม้จะไม่เข้าข่ายแต่ก็ถือข้างเคร่งครัดไว้ก่อน 

เทียบเคียงกับกรณีสตรีประเคนของ แม้จะไม่มีข้อห้ามให้ใช้มือรับโดยตรง แต่พระไทยก็ถือข้างเคร่งไว้ก่อน คือใช้ผ้ารับ ไม่ใช้มือรับ-ฉันใด

สวดมนต์ร่วมกับชาวบ้านจะผิดหรือจะไม่ผิดก็ตาม ก็ถือเคร่งไว้ก่อน คือไม่สวดพร้อมกัน-ฉันนั้น

แต่มาถึง พ.ศ.นี้ พระกับชาวบ้านสวดมนต์ร่วมกันกลายเป็นเรื่องดีไปแล้ว

จะว่าท่านแต่ปางก่อนเข้าใจสิกขาบทข้อนี้ผิด หรือจะว่าท่านในปัจจุบันถือว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นโทษ ก็แล้วแต่จะพิจารณา 

แต่การพิจารณานั้นก็ควรมีหลัก เช่นบทบัญญัติในคัมภีร์ หรืออย่างต่ำๆ ก็แบบธรรมเนียมเก่า ไม่ใช่พิจารณาตามความเห็นส่วนตัว หรือแม้แต่อ้างความเห็นหรือข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์

สวดมนต์ข้ามปีในสมัยนี้ไม่เหมือนสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในสมัยก่อนที่เป็นข้อสำคัญก็คือ มีชาวบ้านมาร่วมสวดด้วย และในหลายๆ แห่งทางราชการเป็นเจ้าภาพจัดเอง เพียงแต่อาศัยทำที่วัด เชื่อว่าต่อไปอาจจะไปจัดกันนอกวัดโดยวัดและพระสงฆ์ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย 

หรือเผลอๆ ที่ทำกันเวลานี้อาจเป็นแบบนั้นไปแล้วบ้างก็ไม่รู้

สรุปได้ว่า

๑ เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ วัดต่างๆ เคยมีการสวดมนต์กันมาแล้ว เรียกว่า “สวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” ไม่ได้เรียกว่า “สวดมนต์ข้ามปี”

๒ เป็นการสวดมนต์ของพระภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะ ไม่ได้มีชาวบ้านมาร่วมสวดด้วย

๓ เป็นการสวดมนต์แบบพระสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่ประชาชนมาสวดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง

ความคิดเห็น :

(๑) ถ้าถามผมว่า สวดมนต์ข้ามปีดีหรือไม่ ผมก็ตอบได้ทันทีว่าดี

แต่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อะไรที่ไม่เคยทำ ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้

ข้อสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีปัญญารู้เหตุผลที่ถูกต้องในการกระทำนั้น

เช่นควรเข้าใจว่าอย่างแจ่มชัดว่า สวดมนต์ในพระพุทธศาสนาคือทำอะไร ทำอย่างไร และทำทำไม

(๒) มีผู้ถามว่า ขึ้นปีใหม่นั้นนับกันที่เวลาไหน ?

เท่าที่ตกลงกันจะโดยหลักโหราศาสตร์หรือหลักดาราศาสตร์หรือศาสตร์อะไรผมก็ไม่แน่ใจและไม่มีความรู้ ก็คือวันใหม่นับเมื่อสิ้นสุดเวลา ๒๔ นาฬิกา พูดอีกอย่างหนึ่งว่าหลังหกทุ่มไปแล้วนับเป็นวันใหม่

ดังนั้นสวดมนต์ข้ามปีจึงต้องเริ่มก่อนหกทุ่มวันที่ ๓๑ ธันวาคม และไปเลิกเอาหลังหกทุ่ม

เมื่อตกลงกันอย่างนี้ก็เป็นไปตามนี้ ไม่ต้องเถียงกัน

แต่โดยสามัญสำนึกของสัตว์โลก หกทุ่มยังมืดอยู่ ยังไม่ใช่วันใหม่ ต่อเมื่อได้เห็นแสงเงินแสงทองนั่นคือเริ่มวันใหม่

เริ่มวันใหม่หลังหกทุ่ม เป็นวันใหม่ตามที่สังคมตกลงกัน

แต่เริ่มวันใหม่เมื่อเห็นแสงเงินแสงทองเป็นวันใหม่ตามที่สัมผัสได้จริง

จึงมีผู้เสนอความเห็นว่า เราควรสวดมนต์กันตอนเช้ามืดวันที่ ๑ มกราคมจึงจะถูกต้องตามที่สัมผัสได้จริง

ผู้เสนอความเห็นได้แสดงเหตุผลประกอบอีกแง่หนึ่งด้วยว่า เรานิยมทำบุญตักบาตรในวันขึ้นปีใหม่ การไปชุมนุมสวดมนต์กันตั้งแต่สี่ทุ่มห้าทุ่มและเลยไปจนถึงหลังเที่ยงคืน เมื่อเสร็จพิธีแล้วจนกว่าจะถึงเวลาเช้า จะไปทำอะไรกัน ?

ถ้ากลับบ้าน ได้นอนอีกนิดหน่อยก็ต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปทำบุญตอนเช้าอีกแล้ว 

ถ้าไม่กลับบ้าน จะทำกิจกรรมอะไรต่อ 

ถ้าทำกิจกรรมต่อไปจนถึงเช้า จะเตรียมตัวทำบุญตักบาตรตอนไหน 

สรุปว่าจังหวะเวลาไม่เหมาะ

แต่ถ้าสวดมนต์กันตอนเช้ามืดวันที่ ๑ มกราคม ก็เพียงแต่ตื่นแต่เช้าหน่อย เตรียมของไปทำบุญตักบาตรแล้วไปสวดมนต์ตั้งแต่ยังไม่สว่าง 

ใช้เวลาแบบเดียวกับพระตื่นตีสี่ทำวัตรเช้ามืดในช่วงเวลาเข้าพรรษา

สวดมนต์กันไปจนสว่าง

จะเรียกว่าสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แบบเดิมก็ตรงตามข้อเท็จจริง

จะเรียกว่าสวดมนต์ข้ามปีตามที่เรียกกันติดตลาดก็ได้ เพราะสวดตั้งแต่ยังไม่หมดปีเก่าและสวดติดต่อมาจนถึงปีใหม่

พอสว่างก็ต่อด้วยทำบุญปีใหม่ได้เลย

ก็คงได้แต่เสนอแนะ แต่จะให้เปลี่ยนคงยาก เพราะไปยอมรับกันแล้วว่าขึ้นปีใหม่ตั้งแต่หลังหกทุ่ม

แต่อะไรที่ไม่เคยทำ ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้

————

ยังมีแง่คิดเรื่องที่นิยมนัดชุมนุมกันทำบุญตักบาตรนอกวัดอีกเรื่องหนึ่ง ขอแยกไปเขียนต่างหากนะครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๗ มกราคม ๒๕๕๘

————–

Parnarai Sapayaprapa 

๓ ธันวาคม ๒๕๕๘

เรียนท่านอาจารย์ทองย้อยที่เคารพ อยากทราบความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับ “การสวดมนต์ข้ามปี” ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี

Arm Thai‎นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย

2 ชม. · อำเภอบางกรวย ·

เรียนท่านอาจารย์ทองย้อยที่เคารพ อยากทราบความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับ “การสวดมนต์ข้ามปี” ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี

เลิกถูกใจ ·

    คุณถูกใจสิ่งนี้

    Arm Thai กราบเรียน

    ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ

    คุณ Parnarai Sapayaprapa เจ้าของข้อความ ข้างต้นนี้

    เขียนเช่นนั้นที่

    แสดงความคิดเห็น ของ

    Arm Thai

    ในโพสต์

    “มาร่วมสวดมนต์ข้ามปี

    ทำความดีข้ามพ.ศ.

    สวัสดีความสุขปี ๒๕๕๘”

    หนูจึง copy มาทั้งหมด

    เรียนท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ

    เคารพท่านอาจารย์เจ้าค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้