ภวตุ สพฺพมงฺคลํ (บาลีวันละคำ 3,124)
ภวตุ สพฺพมงฺคลํ
ขอสรรพมงคลจงมี
อ่านว่า พะ-วะ-ตุ สับ-พะ-มัง-คะ-ลัง
เป็นคำบาลีที่ชาวพุทธคุ้นหูมากที่สุด แต่ก็มีลักษณะเหมือน “หญ้าปากคอก” มากที่สุดด้วย คือคุ้นมาก แต่รู้จักน้อย
มีคำบาลีที่ควรเรียนรู้ 3 คำ คือ “ภวตุ” “สพฺพ” และ “มงฺคลํ”
(๑) “ภวตุ”
อ่านว่า พะ-วะ-ตุ เป็นคำกริยา (ปฐมบุรุษ [ = ผู้ที่ถูกพูดถึง], เอกพจน์) รากศัพท์มาจาก ภู (ธาตุ = มี, เป็น) + อ (อะ) ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + ตุ วิภัตติอาขยาต แผลง อู ที่ ภู เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (ภู > โภ > ภว)
: ภู + อ = ภู + ตุ = ภูตุ > โภตุ > ภวตุ แปลว่า “จงมี”
(๒) “สพฺพ”
อ่านว่า สับ-พะ รากศัพท์มาจาก –
(1) สรฺ (ธาตุ = เป็นไป) + ว ปัจจัย, แปลง ว เป็น พ, แปลง รฺ ที่ สรฺ เป็น พฺ (สรฺ > สพฺ)
: สรฺ + ว = สรฺว > สรฺพ > สพฺพ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นไป”
(2) สพฺพฺ (ธาตุ = เป็นไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: สพฺพฺ + อ = สพฺพ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นไป”
“สพฺพ” (คุณศัพท์) หมายถึง ทั้งหมด, ทั้งปวง, ทั้งสิ้น, ทุกอย่าง (whole, entire; all, every)
“สพฺพ” ในภาษาไทยใช้เป็น “สรรพ” แต่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “สรรพ” “สัพ” และ “สัพพะ” บอกไว้ว่า –
(1) สรรพ, สรรพ– : (คำวิเศษณ์) ทุกสิ่ง, ทั้งปวง, ทั้งหมด, เช่น พร้อมสรรพ งามสรรพ เสร็จสรรพ สรรพสิ่ง สรรพสินค้า. (ส. สรฺว; ป. สพฺพ).
(2) สัพ, สัพพะ : (คำวิเศษณ์) สรรพ, ทุกสิ่ง, ทั้งปวง, ทั้งหมด. (ป. สพฺพ; ส. สรฺว).
(๓) “มงฺคลํ”
อ่านว่า มัง-คะ-ลัง รูปคำเดิมเป็น “มงฺคล” (มีจุดใต้ งฺ) อ่านว่า มัง-คะ-ละ รากศัพท์มาจาก –
(1) มคิ (ธาตุ = ถึง, ไป, เป็นไป) + อล ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ ม-(คิ) แล้วแปลงนิคหิตเป็น งฺ (มคิ > มํคิ > มงฺคิ), ลบสระที่สุดธาตุ (มคิ > มค)
: มคิ > มํคิ > มงฺคิ > มงฺค + อล = มงฺคล แปลตามศัพท์ว่า (1) “เหตุให้ถึงความเจริญ” (2) “เหตุเป็นเครื่องถึงความบริสุทธิ์แห่งเหล่าสัตว์”
(2) มงฺค (บาป) + ลุ (ธาตุ = ตัด) + อ (อะ) ปัจจัย, ลบสระหน้า (คือ อุ ที่ ลุ ที่อยู่หน้า อ ปัจจัย : ลุ > ล)
: มงฺค + ลุ = มงฺคลุ > มงฺคล + อ = มงฺคล แปลตามศัพท์ว่า “เหตุที่ตัดความชั่ว”
“มงฺคล” (นปุงสกลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) มีฤกษ์งามยามดี, รุ่งเรือง, มีโชคดี, มีมหกรรมหรืองานฉลอง (auspicious, prosperous, lucky, festive)
(2) ลางดี, ศุภมงคล, งานรื่นเริง (good omen, auspices, festivity)
“มงฺคล” แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกพจน์ นปุงสกลิงค์ เปลี่ยนรูปเป็น “มงฺคลํ”
สพฺพ + มงฺคล = สพฺพมงฺคล > สพฺพมงฺคลํ แปลว่า “มงคลทั้งปวง”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มงคล, มงคล– : (คำนาม) เหตุที่นํามาซึ่งความเจริญ เช่น มงคล ๓๘, สิ่งซึ่งถือว่าจะนำสิริและความเจริญมาสู่และป้องกันไม่ให้สิ่งที่เลวร้ายมากล้ำกราย, เรียกงานที่จัดให้มีขึ้นเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานทำบุญวันเกิด ว่า งานมงคล; เรียกเครื่องรางของขลังที่เชื่อว่าจะนำความสุขความเจริญเป็นต้นมาให้ หรือป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ว่า วัตถุมงคล; สิ่งที่ทำเป็นวงด้วยด้ายเป็นต้นสำหรับสวมศีรษะเพื่อเป็นสิริมงคล นิยมใช้เฉพาะในเวลาชกมวยไทยหรือตีกระบี่กระบอง. (ป., ส.).”
“มงคล” ตามหลักพระพุทธศาสนาหมายถึง ธรรมที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ
รวมทั้ง3 คำเข้าเป็นประโยค “ภวตุ สพฺพมงฺคลํ” เขียนแบบคำอ่านเป็น “ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง”
ขยายความ :
“ภวตุ สพฺพมงฺคลํ” เป็นคำขึ้นต้นบทสวดที่ชื่อว่า “สัพพมงคลคาถา” หรือ “มังคลโสตถิคาถา” มักเรียกกันสั้นๆ เป็นเสมือนภาษาปากว่า “ภะวะตุสัพ” ข้อความเต็มๆ มีดังนี้ –
(บทแรกเขียนแบบคำอ่าน อีก 2 บทเขียนแบบบาลีให้ลองฝึกอ่านโดยใช้บทแรกเป็นแนว)
…………..
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
ภวตุ สพฺพมงฺคลํ
รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา
สพฺพธมฺมานุภาเวน
สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต.
ภวตุ สพฺพมงฺคลํ
รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา
สพฺพสงฺฆานุภาเวน
สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต.
…………..
คำบาลีพร้อมทั้งคำแปล :
ภวตุ สพฺพมงฺคลํ
ขอสรรพมงคลจงมี (แก่ท่าน)
รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา
ขอเหล่าเทวดาทั้งปวงจงรักษา (ท่าน)
สพฺพพุทฺธานุภาเวน
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
…………………….
…………………….
สพฺพธมฺมานุภาเวน
ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง
…………………….
…………………….
สพฺพสงฺฆานุภาเวน
ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง
สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต.
ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ (เทอญ).
…………..
“ภะวะตุสัพ” เป็นบทสุดท้ายในจำนวนบทสวดต่างๆ ที่พระสงฆ์นำมาสวดในการเจริญพระพุทธมนต์หรือในพิธีอนุโมทนา
พอขึ้นบท “ภะวะตุสัพ” ชาวบ้านที่คุ้นกับการฟังพระสวดมนต์ก็จะรู้ว่าการสวดมนต์หรือการอนุโมทนากำลังจะจบ คือพอจบบท “ภะวะตุสัพ” ที่ลงท้ายว่า “ภะวันตุ เต” ก็เป็นอันจบ (มีบางกรณีที่พระจะขึ้นบท “นักขัตตะยักขะภูตานัง” ต่อจากบท “ภะวะตุสัพ” เป็นการปิดท้ายอีกทีหนึ่ง)
ต่อไปนี้ เมื่อได้ยินพระสวดบท “ภะวะตุสัพ” นอกจากจะรู้ว่าพระท่านสวดคำให้พรแล้ว เราคงพอจะรู้ความหมายของคำให้พรนั้นอย่างน้อยก็ 3 คำ
ส่วนคำอื่นๆ ก็ค่อยๆ หาความรู้กันต่อไป
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ปีสิ้นไป
: แต่สังสารวัฏยังอยู่อีกยาวนาน
31-12-63