อนุโมทนามิ (บาลีวันละคำ 3,170)
อนุโมทนามิ
คำอุตริที่ไม่ควรพูดเล่น
โปรดทราบเป็นหลักความรู้ว่า คำว่า “อนุโมทนามิ” ไม่ใช่คำที่ถูกต้อง เป็นคำบาลีที่ไม่มีในภาษาบาลี คนที่รู้ภาษาบาลีจะรู้ทันทีว่าเป็นคำตลก แต่คนที่ไม่รู้ภาษาบาลีอาจพูดหรือเขียนเช่นนี้โดยซื่อ คือเข้าใจไปว่าเป็นคำบาลีที่ถูกต้อง
จึงต้องย้ำเป็นเบื้องต้นว่า “อนุโมทนามิ” ไม่ใช่คำที่ถูกต้องในภาษาบาลี
“อนุโมทนามิ” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
น่าจะเกิดเพราะเอาคำว่า “อนุโมทนา” กับคำว่า “อนุโมทามิ” มาพูดปนกัน
“อนุโมทนา” กับ “อนุโมทามิ” เป็นคำคนละประเภท
“อนุโมทนา” เป็นคำนาม (noun) ในภาษาบาลี
“อนุโมทามิ” เป็นคำกริยา (verb) ในภาษาบาลี
(๑) “อนุโมทนา”
บาลีเป็น “อนุโมทน” อ่านว่า อะ-นุ-โม-ทะ-นะ รากศัพท์มาจาก อนุ (คำอุปสรรค = น้อย,ภายหลัง, ตามหลัง, เนืองๆ) + มุทฺ (ธาตุ = ยินดี, ชื่นชม) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แผลง อุ ที่ มุ-(ทฺ) เป็น โอ (มุทฺ > โมท)
: อนุ + มุทฺ = อนุมุทฺ + ยุ > อน = อนุมุทน > อนุโมทน แปลตามศัพท์ในความหมายหนึ่งว่า “การพลอยยินดี”
“อนุโมทน” เป็นรูปนปุงสกลิงค์ ศัพท์นี้ + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ เป็น “อนุโมทนา” ก็มี
“อนุโมทน” หรือ “อนุโมทนา” มีคำขยายความดังนี้ –
(1) “การชื่นชมยินดีภายหลังจากที่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น”
(2) “การชื่นชมยินดีภายหลังจากที่รู้หรือเห็นคนอื่นทำความดี”
(3) “เรื่องดีๆ เกิดขึ้นก่อน รู้สึกชื่นชมยินดีตามหลังมา”
(4) “การชื่นชมยินดีอยู่เสมอๆ เมื่อเห็นคนทำดี”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อนุโมทน” ว่า –
“according to taste”, i.e. satisfaction, thanks, esp. after a meal or after receiving gifts = to say grace or benediction, blessing, thanksgiving (“ตามรสนิยม”, คือ ความชื่นชม, การขอบคุณ, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังภัตตาหาร หรือหลังจากที่ได้รับเครื่องไทยทาน = กล่าวอนุโมทนา หรือให้พร, ประสาทพรให้, แสดงความขอบคุณ)
บาลี “อนุโมทน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อนุโมทนา”
บาลีเป็นคำนาม เอามาใช้ในภาษาไทยเป็นคำกริยา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อนุโมทนา : (คำกริยา) ยินดีตาม, ยินดีด้วย, พลอยยินดี; เรียกคําให้ศีลให้พรของพระว่า คําอนุโมทนา. (ป., ส.).”
(๒) “อนุโมทามิ”
เป็นคำกริยา รากศัพท์มาจาก อนุ (คำอุปสรรค = น้อย,ภายหลัง, ตามหลัง, เนืองๆ) + มุทฺ (ธาตุ = ยินดี, ชื่นชม) + อ (อะ) ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + มิ วิภัตติอาขยาตหมวดวัตตมานา อุตมบุรุษ เอกพจน์ (ประธานเป็น “อหํ” = ข้าพเจ้า), แผลง อุ ที่ มุ-(ทฺ) เป็น โอ แล้วทีฆะ อะ ที่ (มุ)-ทฺ เป็น อา (มุทฺ > โมท > โมทา)
: อนุ + มุทฺ + อ = อนุมุท + มิ = อนุมุทมิ > อนุโมทมิ > อนุโมทามิ แปลตามตัวว่า “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีด้วย” ตรงกับที่เรานิยมพูดกันว่า “ขออนุโมทนา”
จะเห็นได้ว่า “อนุโมทามิ” รูปและเสียงใกล้เคียงกับ “อนุโมทนา” คนไม่รู้บาลีอาจเกิดความสับสนและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำเดียวกัน
“อนุโมทนา” เป็นคำที่คุ้นอยู่แล้ว จึงเอารูปและเสียงที่แปลกกันคือ “-ามิ” มาต่อท้าย “อนุโมทนา” เกิดคำใหม่เป็น “อนุโมทนามิ”
ฝ่ายคนที่รู้บาลีเห็นแล้วก็คงนึกในทางขำขัน อาจมีใครบางคนหยิบยกขึ้นมาพูดเล่นเป็นคำตลกโดยไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น
แต่คนที่ไม่รู้บาลีก็อาจเชื่ออย่างจริงจังว่าเป็นคำที่ถูกต้อง จนถึงเข้าใจไปว่า คำแสดงความชื่นชมยินดีใช้ได้ทั้ง 2 คำ คือ “อนุโมทนา” ก็ได้ “อนุโมทนามิ” ก็ได้
และถ้าพูดกันมากเข้าจนกลายเป็นคำผิดติดปาก ดีไม่ดี “อนุโมทนามิ” อาจกลายเป็นคำถูกต้องตามความนิยม ทำนองเดียวกับ “อโรคยา ปรมาลาภา” ที่กำลังจะกลายเป็นคำที่ถูกต้องตามความนิยมอยู่ในเวลานี้
…………..
ดูก่อนภราดา!
เรียนบาลีก็เหมือนเรียนรัก
: ถ้ารู้เรียนที่จะรัก
: ก็ควรรู้รักที่จะเรียน
#บาลีวันละคำ (3,170)
15-2-64