บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความเรื่อง จงเรียกมันว่าความเสื่อม

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (3)

————————-

ตอน-มุมที่ลืมมอง

เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ว่าด้วยการกระทำของผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ได้กระทำลงไปแล้ว

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไปแล้ว แต่ขออนุญาตนำมาประมวลไว้ด้วยเจตนาที่จะชวนเพื่อนชาวพุทธให้ฉุกคิดถึงมุมที่เราอาจจะลืมมอง

ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งใดๆ เรื่องที่เขียนก็เป็นเรื่องที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามท่านได้ทำลงไปแล้ว ผมเพียงเก็บมาบอกเพื่อนชาวพุทธให้รับรู้และชวนให้คิดเท่านั้น ไม่ได้ชี้ชวนให้ไปเกลียดชังหรือไปทำอะไรใคร ถ้าพี่น้องมุสลิมหรือท่านผู้ใดอ่านแล้วไม่สบายใจก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

——————–

-๑-

ในหน่วยทหาร เมื่อทำพิธีประดับยศ (ประดับเครื่องหมายยศ) ณ สถานที่ประกอบพิธีจะตั้งโต๊ะหมู่บูชา ธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ ตามระเบียบที่ปฏิบัติในหน่วยทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม

ครั้งหนึ่ง เมื่อนายทหารที่เป็นมุสลิมเป็นประธานในพิธี ท่านสั่งไม่ให้ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ อ้างว่าขัดต่อหลักศาสนาของท่าน

นายทหารผู้เข้าพิธีประดับยศครั้งนั้นซึ่งเป็นชาวพุทธจึงเท่ากับถูกห้ามไม่ให้ไหว้พระในพิธีสำคัญอันมีเกียรติอย่างยิ่งในชีวิตของตน รวมทั้งผู้ร่วมพิธีซึ่งทั้งหมดเป็นชาวพุทธก็ถูกห้ามไม่ให้ไหว้พระในพิธีวันนั้นด้วย

-๒-

ที่โรงเรียนนายเรือ เมื่อถึงคราวนักเรียนนายเรือสอบเลื่อนชั้น มีแบบธรรมเนียมจัดให้มีพิธีเปิดสอบ โดยตั้งโต๊ะหมู่บูชาในห้องสอบ นายทหารผู้ใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายศึกษาเป็นประธานในพิธี เริ่มด้วยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก่อน แล้วประธานให้โอวาท แล้วจึงลงมือสอบ

ครั้งหนึ่ง เมื่อนายทหารผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นมุสลิมได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายศึกษาโรงเรียนนายเรือ ท่านได้สั่งให้ยกเลิกพิธีเปิดสอบแบบนั้นเสีย ด้วยข้ออ้างว่าการไหว้พระขัดต่อหลักศาสนาของท่าน คงมีแต่การให้โอวาท แต่ไม่มีการไหว้พระ

นี่ก็เท่ากับผู้ถือศาสนาอิสลามห้ามนักเรียนชาวพุทธไม่ให้ไหว้พระก่อนสอบนั่นเอง

-๓-

เมื่อสมัยที่ผู้บัญชาการทหารบกท่านหนึ่งเป็นมุสลิม เมื่อไปเยี่ยมหน่วยทหาร การรวมพลฟังโอวาทที่ศาลาหอพระ ต้องเอาผ้าม่านมาขึงบังพระพุทธรูปไว้ เพราะถ้าเห็นพระพุทธรูปอยู่ตรงนั้นมันขัดต่อหลักศาสนาของท่าน

การเอาผ้าม่านมาขึงบังพระพุทธรูปไว้ก็คือการห้ามไม่ให้กำลังพลที่เป็นชาวพุทธได้เห็นพระพุทธรูปเป็นการเจริญพุทธานุสตินั่นเอง

-๔-

ครั้งหนึ่ง พิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ไม่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ไม่มีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาตามแบบธรรมเนียมของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรทั่วไป ด้วยข้ออ้างว่ามีมุสลิมเข้ารับพระราชทานและร่วมอยู่ในพิธีด้วย โต๊ะหมู่บูชาและพระสงฆ์สวดมนต์ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม

การไม่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ไม่มีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาในพิธี ก็คือการห้ามไม่ให้บัณฑิตที่เป็นชาวพุทธได้ไหว้พระและสดับชัยมงคลคาถาเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในวันสำเร็จการศึกษานั่นเอง

-๕-

*ครั้งหนึ่ง ในหน่วยทหารกองทัพภาค ๔ อนุศาสนาจารย์เสนอเรื่องให้จัดพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะสำหรับทหารใหม่ ซึ่งเป็นพิธีที่หน่วยทหารไทยทุกเหล่าทัพจัดเป็นประจำทุกปี

ผู้บังคับบัญชาที่นั่นไม่อนุญาตให้จัด ด้วยข้ออ้างว่ามีทหารมุสลิมอยู่ด้วย

ทหารชาวพุทธจัดพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะไม่ได้เพราะอะไร

เพราะผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาต

ผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตเพราะอะไร

เพราะมีทหารมุสลิมอยู่ด้วย และพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม

หลักศาสนาอิสลามถืออำนาจอะไรจึงห้ามทหารชาวพุทธไม่ให้จัดพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ?

-๖-

ครั้งหนึ่ง มีการประชุมทางวัฒนธรรมที่จังหวัดยะลา มีผู้แทนหน่วยงานทางวัฒนธรรมจากจังหวัดต่างๆ ไปเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก และมีหน่วยที่มาจากศาสนาอิสลามเข้าร่วมด้วยหลายคณะ

การประชุมลักษณะนี้ ตามแบบแผนของราชการไทยก็ต้องตั้งโต๊ะหมู่บูชา ธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ในห้องที่ทำพิธีเปิดประชุม ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วจึงเปิดประชุม

แต่ผู้จัดประชุมไม่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาฯ ด้วยเหตุผลเดียวกับกรณีอื่นๆ คือมีผู้นับถือศาสนาอิสลามเข้าร่วมประชุมด้วย การตั้งโต๊ะหมู่บูชาฯ ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม

ผู้แทนจากจังหวัดราชบุรีหารือผู้แทนจากหน่วยต่างๆ แล้วร้องเรียนว่า นี่เป็นการประชุมของหน่วยราชการไทย ตามวัฒนธรรมไทย แล้วยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาฯ ผู้แทนจากหน่วยต่างๆ ประมาณ ๑๐ กว่าหน่วยจะไม่ขอเข้าร่วมประชุมและจะเดินทางกลับทันที

นั่นแหละ ผู้จัดประชุมจึงยอมตั้งโต๊ะหมู่บูชาฯ

———————

ขอย้ำว่า ที่นำมาเสนอนี้ไม่ใช่ชวนให้หาเรื่องทะเลาะกัน

แต่ประสงค์จะชวนให้ชาวพุทธช่วยกันฉุกคิด และหันกลับมาดูมุมที่เราไม่เคยมอง

ที่แล้วๆ มาเรามักเพ่งมองไปที่ข้ออ้างของพี่น้องมุสลิมว่า-เขาทำอะไรไม่ได้บ้าง หรือในศาสนาของเขาห้ามอะไรบ้าง

แต่ลืมมองมาที่ตัวเราเองว่า-เพราะข้อห้ามของเขา จึงทำให้เราถูกห้ามอะไรไปบ้าง หรือจึงทำให้เราเสียสิทธิ์ทำอะไรไม่ได้ไปบ้าง-เราลืมมองมุมนี้

ถ้าเขาห้ามการปฏิบัติเช่นนั้นในหมู่ศาสนิกของเขา

นั่นย่อมถูกต้อง นั่นย่อมชอบธรรม

แต่เขายกหลักคำสอนของเขาเอามาห้ามเรา

อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นความชอบธรรมไม่ได้เลย

ชาวพุทธเราลืมมองหรืออาจจะไม่ทันได้คิด เพราะไปมัวพะวงอยู่กับคำอ้างว่าในศาสนาของเขาห้ามอะไร จนลืมมองไปว่า นั่นเท่ากับเขาห้ามเราไม่ให้ทำอะไร

ศาสนิกในศาสนาหนึ่งยกข้อห้ามในศาสนาของตนมาห้ามศาสนิกของอีกศาสนาหนึ่ง

เป็นการปฏิบัติที่ชอบธรรมแล้วหรือ

ถ้าชาวพุทธสวดมนต์ไหว้พระอยู่ในบ้านของตน แล้วคนอีกศาสนาหนึ่งมาบอกว่า ห้ามสวดมนต์ เพราะการสวดมนต์ไหว้พระขัดต่อศาสนาของข้าพเจ้า

เป็นการปฏิบัติที่ชอบธรรมแล้วหรือ

แผ่นดินไทยก็เหมือนบ้านของชาวพุทธ

แคบเข้ามาอีก ในสถานศึกษา ในหน่วยทหาร หน่วยราชการ (ตามเหตุการณ์ที่กล่าวมา) ก็คือบ้านของชาวพุทธ ผู้คนที่เข้าไปดำเนินกิจกรรมอยู่ในสถานที่เหล่านั้นเป็นชาวพุทธทั้งนั้น ที่ถือศาสนาอื่นก็มี แต่มีแบบ “อัพโพหาริก” คือมีเหมือนไม่มี

พูดให้ชัดลงไปเลยก็ยังได้ว่า เป็นสถานศึกษาของชาวพุทธ เป็นหน่วยทหารของชาวพุทธ เป็นหน่วยราชการของชาวพุทธ

ดังนั้น ลองคิดดู การที่ยกเอาข้อห้ามในศาสนาหนึ่งมาห้ามชาวพุทธไม่ให้ปฏิบัติกิจที่ชาวพุทธมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติได้ นั่นเป็นการกระทำที่ชอบธรรมแล้วหรือ

ในแง่การปฏิบัติทางศาสนา เราไม่เคยบอกผู้ที่นับถือศาสนาอื่นว่า ห้ามนมัสการพระผู้เป็นเจ้าหรือห้ามทำนั่นทำนี่ เพราะที่นี่มีชาวพุทธอยู่ด้วย

แต่ชาวพุทธเรากลับถูกบอกว่า ห้ามตั้งโต๊ะหมู่บูชา ห้ามไหว้พระ เพราะที่นั่นมีมุสลิมอยู่ด้วย

ใครมองเห็นความถูกต้องชอบธรรมบ้าง

———————

ขอย้ำนะครับว่า ที่เอาเรื่องนี้มาพูด ก็เพื่อชี้ชวนให้ชาวพุทธเราเฉลียวใจฉุกคิดว่า ขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาชี้ให้เราดูอะไรอยู่นั้น มืออีกข้างหนึ่งของเขาแอบล้วงเอาอะไรของเราไปบ้าง

เราพูดกัน บอกกัน ชี้ให้กันดูถึงช่องโหว่ของเรา

อุปมาเหมือนเจ้าของบ้านเตือนกันให้ระวังขโมยเข้าบ้าน

เตือนกันเพื่อให้รู้ทันขโมย

ไม่ได้บอกให้ไปฆ่าขโมย หรือแม้แต่ให้ไปด่าขโมย

ใครอ่านเรื่องนี้แล้ว ห้ามไปหาเรื่องทะเลาะกับพี่น้องมุสลิมเป็นอันขาด

และหวังว่าจะไม่มีใครหาเรื่องทะเลาะกันเองด้วย

ผมพูดเพื่อให้เราฉุกคิดและรู้ทัน

หันมามองมุมที่เราไม่เคยมอง

ไม่ได้พูดเพื่อให้ทะเลาะกัน

เมื่อรู้ทันก็จะเกิดสติปัญญา รู้ว่าควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร

จะได้มีอุตสาหะคิดอ่านรักษาพระศาสนาของเราด้วยวิธีที่ถูกต้องชอบธรรม

———————

เมื่อบอกกันชัดๆ อย่างนี้แล้ว หากยังมีใครบอกว่า-ถึงจะเป็นเรื่องที่มีผู้ทำขึ้นแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ควรเอาพูดให้หมางใจกัน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูด

ผมก็ขออนุญาตที่จะพูดคำเดิมที่เคยบอกไว้แล้ว นั่นคือ –

อย่ามาบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาพูด

แต่ควรบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาทำ

ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาทำ

ก็จะไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาพูด

ตอนที่มีคนเอาเรื่องแบบนี้มาทำ

ไม่มีใครร้องห้ามว่าอย่าทำ

แต่พอมีคนเอามาพูด

กลับมีคนร้องห้ามว่าอย่าพูด

ถ้าเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะครับ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑ ตุลาคม ๒๕๖๐

๑๕:๐๐

……………..

ตอน 4 กฎหมายคือพระเจ้า

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1520872188006513

……………..

ตอน 2 โยนหินถามทาง

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1517321381694927

……………..

—————

หลักฐาน

ข้อหมายเลข ๕*

มีครับสมัย อ.อรุณ ศุภรัตนดิลก เป็น อศจ.ทภ.๔ รองเสธ. คือ พ.อ.อรรควุฒิ โพธิแพทย์ บอกว่า เรื่อง ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนให้ระงับไว้ก่อน แต่ตัวเรื่องไม่น่าจะอยู่แล้วครับ

(พันเอก บุญ ศรีศักดิ์ แจ้งข้อมูลเมื่อ ตุลาคม ๒๕๖๐)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *