บทความเรื่อง ความแล้งน้ำใจกับปัญหาทางจริยธรรม
ความแล้งน้ำใจกับปัญหาทางจริยธรรม (๗)
————————————–
แต่ในฉับพลันทันทีที่เราเปลี่ยนสถานะจากผู้ถูกกระทำไปเป็นผู้กระทำบ้าง เราก็จะลืมความรู้สึกเมื่อตอนเป็นผู้ถูกกระทำจนหมดสิ้น คือเราก็จะทำจะพูดแบบเดียวกับที่เราไม่อยากให้ใครมาทำมาพูดกับเราเช่นนั้นนั่นเอง
นี่เป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่งที่คนเราสามารถจะลืมอะไรได้รวดเร็วฉับพลันถึงปานนี้
เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุกฝ่ายตั้งสติให้ดี เวลาอยู่ในฐานะที่จะเป็นพลเมืองดี ก็อย่าลืมความรู้สึกหรือหัวอกของคนที่เป็นญาติผู้ป่วย และเวลาที่อยู่ในฐานะญาติผู้ป่วย ก็โปรดอย่าลืมนึกถึงหัวอกของผู้เป็นพลเมืองดีเอาไว้บ้าง
………………………….
มีข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาจะตัดสินหรือมองการกระทำของใครว่าถูกผิดดีชั่วอย่างไรนั้น เรามักจะยึดเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งหรือเป็นเกณฑ์ตัดสิน และมองข้ามเจตนาของผู้กระทำนั้นไปเสียหมด
เช่นในกรณีที่กำลังถามใจญาติของคนป่วยอยู่นี้แหละ ถ้าญาติของเรารอดตาย เราก็จะบอกว่าคนที่พาญาติเราไปส่งโรงพยาบาลนั้นทำถูกทำดีแท้ๆ
แต่ถ้าญาติของเราตาย เราก็จะต้องว่าคนที่พาญาติเราไปส่งโรงพยาบาลนั้นทำผิด – เช่นนี้ ใช่หรือไม่?
หรือในกรณีที่คนพบเหตุไม่พาญาติของเราไปส่งโรงพยาบาล แล้วญาติเราเกิดตายอยู่ตรงที่เกิดเหตุนั้นเอง เราก็จะต้องว่าคนที่ไม่พาญาติของเราไปส่งโรงพยาบาลนั้นทำผิด แล้งน้ำใจ ไร้มนุษยธรรม
แต่ถ้าคนคนนั้นไม่พาญาติเราไปส่งโรงพยาบาล หากแต่ช่วยดูแลอยู่ตรงนั้นและญาติเรารอดตาย เราก็จะบอกว่าคนคนนั้นทำถูกทำดีแล้ว
จะเห็นได้ว่า เราตัดสินด้วยผลประโยชน์ของเราล้วนๆ
ญาติเรารอด การกระทำนั้นถูก
ญาติเราตาย การกระทำนั้นผิด
การกระทำแบบเดียวกันแท้ๆ แต่เป็นได้ทั้งถูกทั้งผิด เพราะเราเอาผลประโยชน์ของเราเป็นตัวตัดสิน
แต่สิ่งที่เราไม่ได้คิดคำนึงถึงเลย ทั้งๆ ที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในทุกเรื่องก็คือ เจตนาของผู้กระทำ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่เรามักลืมส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องไปอย่างน่าตกใจ ก็เพราะถูกผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาบดบังดวงตาปัญญาของเรานั่นเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตัวตัดสินกรรมคือเจตนา แต่เวลาเราจะตัดสินคน แทนที่จะมองไปที่เจตนา เรากลับมองไปที่ผลประโยชน์ส่วนตัว ตลกดีไหม
เพื่อให้มองเห็นประเด็นชัดขึ้น ลองสมมุติอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ สมมุติว่าตำรวจกระทำวิสามัญฆาตกรรมวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นคนเกะกะเกเรก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่คนในชุมชนที่อยู่ด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง
ทีนี้ ลองถามความเห็นว่า คิดอย่างไรกับการกระทำของตำรวจ
คนในชุมชนนั้นจะยกมือท่วมหัวตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สาธุ แผ่นดินจะได้สูงขึ้น
พ่อแม่ของวัยรุ่นคนนั้นจะตอบว่า ตำรวจเลวมากที่มาฆ่าลูกของฉัน
จะเห็นได้ว่า เป็นคำตอบที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้
คนในชุมชนนั้นก็นึกถึงความสงบสุขของตน
พ่อแม่ของวัยรุ่นก็นึกถึงแต่ว่า-ลูกของฉัน
เมื่อมองแต่ผลประโยชน์ของตน ก็ไม่ได้มองไปที่เจตนาของตำรวจที่เป็นตัวกำหนดให้มีการกระทำวิสามัญฆาตกรรม
แต่ถ้าลองไปถามคนที่อยู่ห่างออกไปร้อยกิโลเมตร ที่มิได้มีส่วนได้เสียกับชุมชนแห่งนั้น หรือไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรกับพฤติกรรมของวัยรุ่นคนนั้น หรือไม่ได้เป็นญาติโกโหติเกกับวัยรุ่นคนนั้นและไม่ได้เป็นญาติโกโหติเกกับตำรวจด้วย เขาก็จะตอบว่า —
ต้องดูกันที่รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น วัยรุ่นคนนั้นไปทำอะไรมา เพราะอยู่ๆ ตำรวจจะไปเที่ยวยิงใครเอาตามใจชอบไม่ได้ ตำรวจก็คงมีเหตุผลในการกระทำครั้งนี้ ควรจะตรวจสอบข้อเท็จจริงกันก่อน
จะเห็นได้ว่า คราวนี้คำตอบจะพยายามเล็งไปที่ตัวเจตนาของผู้กระทำมากขึ้น เพราะผู้ตอบเป็นอิสระจากผลประโยชน์ส่วนตัว
นั่นก็แปลว่า เราจะมองเห็นข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงได้มากกว่า และเราจะมีท่าทีที่จะปฏิบัติต่อผู้เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาบดบังดวงตาปัญญา
(ยังมีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๘ มีนาคม ๒๕๖๔
๑๕:๓๓