บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความชุด :

บทความชุด :

ถ้าจะรักษาพระศาสนา

จงรักษาวิถีชีวิตสงฆ์

-๙-

ปวารณา: พยานปากเอก- (๖) 

———————————–

ที่ยืนยันว่า นี่เราขาดการรักษาสืบทอดวิถีชีวิตสงฆ์กันแล้วจริงๆ

……………………………………

(๒) สภาพสังคมปัจจุบันนี้ ถ้าพระไม่มีเงิน ไม่รับเงิน ไม่จับจ่ายเงินด้วยตัวเอง พระจะอยู่ไม่ได้ นี่เป็นข้อเท็จจริง จงตื่นขึ้นมายอมรับความจริง อย่าเอาแต่โลกสวย

……………………………………

ความข้อนี้เป็นตัวจุดประกายให้เกิด บทความชุด: ถ้าจะรักษาพระศาสนาจงรักษาวิถีชีวิตสงฆ์ โดยเฉพาะตอนที่ ๙ ปวารณา: พยานปากเอกที่ยืนยันว่า นี่เราขาดการรักษาสืบทอดวิถีชีวิตสงฆ์กันแล้วจริงๆ-ที่กำลังเขียนอยู่นี้

ที่ว่า-ถ้าพระไม่มีเงิน ไม่รับเงิน ไม่จับจ่ายเงินด้วยตัวเอง พระจะอยู่ไม่ได้-นี้ ถ้าเอาไปถามใคร ก็จะต้องมีคนเห็นด้วย และคงมีคนเห็นด้วยค่อนโลก

ก็แบบเดียวกับเหตุผลของคนชอบเอาเงินใส่บาตรที่ว่า-ใส่อาหาร พระก็ได้แต่อาหาร แต่ถ้าใส่เงิน พระท่านจะได้เอาเงินไปซื้อของที่จำเป็นอื่นๆ ได้อีก เหตุผลนี้มีคนเห็นด้วยค่อนโลก เวลาพระออกบิณฑบาตจึงมีคนเอาเงินใส่บาตรกันทุกวัน

ผมขออนุญาตย้ำไว้ตรงนี้ว่า บทความนี้-โดยเฉพาะตอน “ปวารณา: พยานปากเอกที่ยืนยันว่า นี่เราขาดการรักษาสืบทอดวิถีชีวิตสงฆ์กันแล้วจริงๆ” นี้ ผมไม่มีความประสงค์ที่จะทักท้วงบ่นว่านินทาตำหนิติเตียนประณามขัดขวางคัดค้านโต้แย้งการถวายเงินใส่มือพระไปตรงๆ การที่พระจับจ่ายใช้เงิน หรือการเอาเงินใส่บาตร แต่ประการใดทั้งสิ้น

ใครที่ถวายเงินใส่มือพระไปตรงๆ ก็ยังคงถวายได้ตามสบาย 

พระจับจ่ายใช้เงิน ก็ยังคงทำได้ตามปกติ 

พระออกบิณฑบาต ใครที่ชอบเอาเงินใส่บาตรก็ยังคงใส่ได้ตามสะดวก 

ผมไม่ไปยุ่งด้วย ตัวใครตัวมัน รักษาตัวกันเอาเอง ผมหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะมีเจตนาจะเสนอแนวคิดเท่านั้น-ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยให้พระท่านรักษาวิถีชีวิตสงฆ์ไว้ได้ในโลกปัจจุบัน

เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ต่อไปนี้ขอเชิญฟังแนวคิดของผม

………………..

คำที่ว่า ถ้าพระไม่มีเงิน ไม่รับเงิน ไม่จับจ่ายเงินด้วยตัวเอง พระจะอยู่ไม่ได้-นี้ คนพูดเคยคิดคำนึงหรือไม่ว่า ใครหรืออะไรกันแน่ที่อยู่ไม่ได้

ผู้ที่เข้ามาดำเนินตามวิถีชีวิตสงฆ์นั้น พระพุทธเจ้าทรงคำนึงถึงการ “อยู่ได้” ไว้รอบด้านแล้ว ดังที่มีระเบียบให้ “บอกอนุศาสน์” ตั้งแต่โอกาสแรกที่สำเร็จเป็นพระ

“อนุศาสน์” ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ ๒ ส่วน คือ –

๑ นิสัย มี ๔ ข้อ ต้องรีบบอก เพราะเป็นวิธีครองชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำ อยู่ไม่ได้

๒ อกรณียกิจ มี ๔ ข้อ ต้องรีบบอก เพราะเป็นอันตราย เป็นเรื่องที่ห้ามทำ ถ้าไปทำเข้า แม้อยู่ได้ก็ไม่รอด คือไม่เป็นพระ

ถ้าดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ รับรองว่าพระอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระสมัยพุทธกาลหรือพระสมัยนี้ เงื่อนไขมีอยู่เพียงข้อเดียว-คือต้องครองชีพตามวิถีสงฆ์ หรือวิถีชีวิตสงฆ์

แน่นอน ต้องศึกษาให้ชัดก่อนว่าที่เรียกว่า “วิถีชีวิตสงฆ์” คืออะไร หาคำกำจัดความที่ถูกต้องให้เจอ

ผมขอเสนอกรอบคิดที่จะช่วยให้แคบเข้า นั่นคือ คิดแค่ ๒ เรื่อง คือเรื่องทำกับเรื่องมี 

อะไรที่ต้องบวชเท่านั้นจึงจะทำได้จึงจะมีได้ 

จงรีบทำอย่าละเลย และจงรีบมีอย่าให้ขาด

แต่อะไรที่แม้ไม่บวชก็ทำได้ แม้ไม่บวชก็มีได้ 

จงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนมี และจงคิดให้ถ้วนถี่ก่อนทำ

ถ้าปฏิบัติตามกรอบแล้วตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ก็จะพบความจริงว่า เพราะไม่ปฏิบัติตามกรอบ และเพราะมีอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างงอกเกินเข้ามาในวิถีชีวิตสงฆ์ แต่ไปเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสงฆ์ เป็นเรื่องที่ควรทำหรือเป็นสิ่งที่ควรมี นี่คือจุดที่เริ่มมีปัญหา 

และเมื่อทำเรื่องนั้นเมื่อมีสิ่งนั้น ก็ต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเกินกรอบเกินจำเป็น เกินกว่าที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ (แต่ก็ยังคงหาเหตุผลมาอ้างว่าจำเป็นอยู่นั่นแหละ ซ้ำยืนยันว่าเป็นเหตุผลที่ถูกต้องเสียด้วย) ตรงนี้เองที่เป็นเหตุให้อ้างว่า ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้น หรือถ้าไม่มีสิ่งนั้น ชีวิตพระจะอยู่ไม่ได้

วิธีพิสูจน์คำตอบที่แม่นยำที่สุดก็คือ ถอยไปตั้งหลักที่จุดเริ่มต้น-เข้ามาเป็นพระในพระพุทธศาสนาด้วยเหตุผลอะไร

ถ้าให้เหตุผลถูกต้องตามหลักการของพระพุทธเจ้า ก็จะได้คำตอบว่า ที่ว่า-ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ได้มีอย่างนั้นแล้วพระจะอยู่ไม่ได้นั้น ที่แท้แล้วหาใช่เหตุผลที่ถูกต้องไม่

ส่วนเกินของพระนั่นต่างที่จะอยู่ไม่ได้

แต่เนื้อตัวแท้ๆ ของพระ จะอยู่ได้สบายมาก 

ของจริง ตัวอย่าง หรือ idol ที่ยังพอหาดูได้ก็คือ พระที่ไม่จับเงิน ซึ่งเคยมีอยู่จริง ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่จริง เป็นการยืนยันว่า วิถีชีวิตสงฆ์ที่ไม่ต้องละเมิดพุทธบัญญัตินั้นทำได้จริง

พูดอย่างนี้ คงมีหลายท่านอยากบอกว่า พระแบบนั้นมีจริง ไม่เถียง แต่ต้องไปอยู่ในป่า พระในเมืองทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ต้องไล่พระไปอยู่ป่ากันให้หมดจึงจะทำได้ จินตนาการดี แต่ทำจริงไม่ได้ ก็สมแล้วที่โดนพระท่านว่าพวกโลกสวย

ใจเย็นๆ นะครับ 

แล้วก็ติดตามแนวคิดให้จบก่อน

……………….

ชวนคิดทิ้งท้ายตอนนี้นิดหนึ่ง พอดีนึกขึ้นมาได้ 

ที่ว่า-ถ้าไม่รับเงิน ไม่ใช้เงิน พระจะอยู่ไม่ได้นั้น เงื่อนไขสำคัญที่นิยมยกขึ้นมาอ้างก็คือ เพราะปัจจุบันโลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป สภาพต่างๆ ไม่เหมือนสมัยพุทธกาล

ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาก็จะรู้ว่า หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงมา ๑๐๐ ปี พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่า พวกวัชชีบุตร ได้ตั้งข้อกำหนดของพวกตนขึ้นมา ๑๐ ข้อ ซึ่งล้วนแต่ฝ่าฝืนหรือหลบเลี่ยงพุทธบัญญัติทั้งสิ้น 

๑ ใน ๑๐ ข้อนั้นก็คือ ให้ภิกษุรับเงินได้

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระสงฆ์ผู้ทรงศีลทรงธรรมตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเห็นว่า จะทำให้พระศาสนาวิปริต จึงพร้อมใจกันทำสังคายนาประกาศยืนยันให้รู้ทั่วกันว่า ข้อกำหนดทั้ง ๑๐ ข้อของพวกวัชชีบุตร (รวมทั้งที่ว่า “ให้ภิกษุรับเงินได้”) นั้น เป็นเรื่องนอกธรรม นอกวินัย ไม่มีในคำสั่งสอนของพระศาสดา

จะเห็นได้ว่า ที่ว่า-ถ้าไม่รับเงิน ไม่ใช้เงิน พระจะอยู่ไม่ได้นั้น อ้างกันมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ.๑๐๐ ไม่ใช่เพิ่งมาอ้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๖๔

พ.ศ.๑๐๐ สภาพสังคมยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยพุทธกาล

และ พ.ศ.๒๕๖๔ นี้ พระที่ไม่รับเงิน ไม่ใช้เงิน ก็ยังมีอยู่จริง นั่นเป็นการยืนยันว่าพระที่ตั้งใจดำเนินตามและดำรงอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์แท้ๆ นั้น สามารถทำได้จริง

และนั่นก็เป็นการยืนยันว่า ถ้ามีความตั้งใจจริงเราก็สามารถช่วยกันทำโลกสวยให้เป็นโลกจริงได้จริงๆ 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๔

๑๐:๕๗

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *