บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

บทความชุด :

บทความชุด :

ถ้าจะรักษาพระศาสนา

จงรักษาวิถีชีวิตสงฆ์

-๙-

ปวารณา: พยานปากเอก- (๙) 

———————————–

ที่ยืนยันว่า นี่เราขาดการรักษาสืบทอดวิถีชีวิตสงฆ์กันแล้วจริงๆ

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากของจริงบางเรื่องที่ผมนำมาเทียบให้ดูเพื่อจะบอกว่า อะไรที่สมัยหนึ่งเราไม่เคยคิดว่าจะมีหรือจะเป็นไปได้ แต่พอถึงอีกสมัยหนึ่งสิ่งนั้นมันก็เป็นไปแล้ว

………………

เรื่องแรก: เป็นเรื่องตลกเบาๆ ในสมัยหนึ่ง คือสมัยเมื่อเกือบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา สมัยที่แรกมีร้านกาแฟและร้ายขายน้ำแข็ง สมัยโน้น เวลาเห็นใครจะไปตลาดนัดในตัวเมือง จะมีคนพูดตลกล้อกันว่า ขากลับซื้อน้ำแข็งมาฝากบ้างเน้อ 

สมัยโน้น ใครจะกินน้ำแข็งใส่น้ำหวาน หรือกาแฟเย็นคือกาแฟใส่น้ำแข็ง ต้องไปนั่งกินที่ร้านกาแฟเท่านั้น ใส่แก้ว กินให้หมดที่ร้านนั่น เอากลับไปกินที่บ้านไม่ได้ เพราะน้ำแข็งนั้นประเดี๋ยวเดียวก็ละลายหมด ไม่มีภาชนะที่จะใส่ไปให้ถึงบ้านได้

“ขากลับซื้อน้ำแข็งมาฝากบ้างเน้อ” – จึงเป็นที่รู้กันว่าเป็นคำพูดล้อเล่นสนุกๆ 

แต่วันนี้ ใครพูดคำนั้นไม่มีใครสนุกด้วยอีกแล้ว เพราะซื้อน้ำแข็งไปฝากกันนั้นทำได้อย่างสะดวกสบาย 

อยู่เชียงใหม่ซื้อน้ำแข็งไปฝากคนสุไหงโก-ลก ก็ยังได้

เรื่องที่สอง: เมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว ถ้าใครจำเป็นจะต้องนั่งแท็กซี่ เรียกแท็กซี่ แท็กซี่มาจอด คำแรกคือถามว่าไปที่โน่นๆ คิดเท่าไร คนขับแท็กซี่คำนวณระยะทาง+สภาพการจราจร บอกราคา ถ้าพอใจก็ไป ถ้าไม่พอใจก็ต่อรองจนกว่าจะพอใจทั้งสองฝ่าย หรือบอกเลิก ไม่ไป รอเรียกคันอื่น

วันนี้ เรียกแท็กซี่ คำแรกที่บอกคือ ไปที่โน่นๆ ไม่ต้องถามว่าคิดเท่าไร เพราะแท็กซี่ทุกคันติดตั้งเครื่องคำนวณราคาค่าโดยสารอัตโนมัติที่เรียกรู้กันว่า แท็กซี่มิเตอร์ (meter taxi) ถ้าจะตกลงราคาเหมือนเมื่อ ๗๐ ปีที่แล้วก็ต้องว่ากันเป็นรายๆ ไป

เรื่องที่สาม: เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว คนทำงานรับค่าจ้างรายเดือน เมื่อสิ้นเดือนก็เข้าไปรับเงินเดือนจากสมุห์บัญชีหรือเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงาน

เจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานแต่ละแห่งมีภาระจะต้องเตรียมธนบัตรและเหรียญราคาต่างๆ ให้พอดีกับเงินเดือนของแต่ละคน พอถึงวันเวลารับเงินเดือน แต่ละคนก็เดินเข้าไปรับธนบัตรและเหรียญราคาต่างๆ พวกนั้น นั่นคือวิธีรับเงินเดือนเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว

ผมเข้ารับราชการในกองทัพเรือเมื่อปี ๒๕๒๕ ก็ยังต้องรับเงินเดือนด้วยวิธีนั้น 

พลทหารกองประจำการหน่วยนาวิกโยธินนายหนึ่งบรรยายลักษณะการเข้าไปรับเบี้ยเลี้ยงหรือเงินเดือนของทหารกองประจำการให้ผมฟังว่า ต้องชักแถวเข้าไป ณ ที่ทำการของสมุห์ (นายทหารการเงิน) 

เมื่อถึงลำดับของตน 

– เดินตบเท้าเข้าไปยืนหน้าโต๊ะสมุห์ 

– ถอดหมวก (ขั้นตอนการถอดหมวกทำอย่างไร ทหารต้องเรียนรู้และปฏิบัติให้เหมือนกัน) 

– ถือหมวกด้วยมือซ้าย หงายหมวก 

– สืบเท้าขวาไปข้างหน้า ๑ ก้าว 

– ย่อตัวลงเล็กน้อย 

– ยื่นหมวกไปชิดโต๊ะ 

– ใช้มือขวากวาดเงิน (ธนบัตรหรือเหรียญ) ลงในหมวก (เบี้ยเลี้ยง/เงินเดือนเป็นของพระราชทาน เป็นของสูง ต้องรองรับด้วยของสูงให้สมกัน) 

– ชักเท้ากลับ 

– ยืนตรง 

– กลับหลังหัน 

– ตบเท้าเดินออกไป 

– ล้วงเงินจากหมวกใส่กระเป๋า 

– สวมหมวก 

– แล้วเดินกลับเข้าแถว 

แต่ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการในปี ๒๕๔๘ วิธีรับเงินเดือนของหน่วยงานต่างๆ-โดยเฉพาะหน่วยราชการไทย-เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

วันนี้ หน่วยงานทุกแห่งในเมืองไทยและในโลกจ่ายเงินเดือนผ่านระบบอัตโนมัติ คนมีเงินเดือนไม่ต้องไปรับธนบัตรและเหรียญจากเจ้าหน้าที่การเงินอีกต่อไป แต่ใช้วิธีถือบัตรไปกดเงินเอาจากตู้จ่ายเงินอัตโนมัติซึ่งมีอยู่ทั่วไป 

คนมีเงินเดือนที่เข้าทำงานหลังปี ๒๕๔๘ จะไม่รู้เลยว่าคนมีเงินเดือนสมัยก่อนเขารับเงินเดือนกันอย่างไร

พลทหารกองประจำการวันนี้คงไม่ต้องฝึกท่าทางเข้ารับเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนที่โต๊ะนายทหารการเงินของหน่วยอีกแล้ว

เรื่องที่สี่: เมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว จะซื้อของกินของใช้ ต้องแต่งตัว ออกจากบ้าน ไปตลาดไปร้านขายของ เสียเวลาเป็นอันมาก

แต่วันนี้ คนซื้อของกิน+ของใช้ ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน นั่งอยู่กับบ้านก็ซื้อได้ทุกอย่าง ของกิน+ของใช้มา “ประเคน” ให้ถึงบ้าน

เรื่องที่ห้า: เมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว จะจ่ายค่าอะไร ต้องกำเงินเดินไปจ่าย ณ ที่ทำการของหน่วยงานนั้นๆ 

แต่วันนี้ ค่าอะไรๆ นั่งจิ้มอยู่กับบ้านจ่ายได้หมดทุกอย่าง แม้แต่ค่ากินค่าอยู่ประจำวัน จ่ายด้วยวิธีนั่งจิ้มได้หมด 

เอาแค่นี้พอ

โลกเปลี่ยนไปในชั่วอายุเรานี่เอง อะไรที่เคยทำไม่ได้ในสมัยหนึ่ง กลายเป็นของทำได้ง่ายๆ เหมือนของเล่นในสมัยนี้

………………..

แนวคิดเรื่องปวารณาบัตรที่ผมนำเสนอนี้ ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเชื่อว่าทำได้

แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับ-ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่คิดจะทำ 

เอาเงินใส่มือพระเณร ให้พระเณรไปเลือกจับจ่ายสิ่งที่ต้องการเอาเองตามใจชอบ (สมควรแก่สมณบริโภคหรือไม่สมควร ไม่สน) สะดวกสบายกว่ากันเยอะเลย อาบัติก็แค่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เรื่องสำคัญที่น่าทำกว่านี้มีอีกเยอะ – ท่านเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่คิดอยางนี้?

………………..

เรื่องปวารณาบัตร วันนี้เราบอกกันว่า ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ หรือแม้แต่ถูกโต้แย้งอย่างเย้ยหยันว่าฝันเฟื่อง เสียเวลา ไร้สาระ

“ปวารณาบัตร” ที่ผมนำเสนอซึ่งทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ทำไม่ได้ในวันนี้ ถ้าเรายังไม่สิ้นความพยายามที่จะช่วยให้พระภิกษุสามเณรดำรงชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันได้ด้วย และดำรงวิถีชีวิตสงฆ์ไว้ได้โดยไม่ละเมิดพุทธบัญญัติด้วย สักวันหนึ่งจะสามารถทำได้และเป็นไปได้จริงๆ

แต่ถ้าเราไม่เริ่มคิดตั้งแต่วันนี้

เราก็จะต้องอยู่ในหลุมคูถกันไปตลอดกาลนาน

อาจนานจนกระทั่งเคย จนกระทั่งชิน และจนกระทั่งเชื่อ-ว่าในหลุมคูถนี่มันก็สุขสบายดีทุกสิ่งทุกประการอยู่แล้ว จะต้องตะเกียกตะกายป่ายปีนดิ้นรนพยายามขึ้นไปที่ไหนให้เหน็ดเหนื่อยเสียเวลาเสพสุขไปเปล่าๆ ทำไมกันเล่า

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔

๑๖:๓๗

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *