บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

แรงบันดาลใจ

แรงบันดาลใจ

วันนี้วันศุกร์ (๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๔) ผมเดินออกกำลังไปทางทิศตะวันออก เอาแม่น้ำแม่กลองเป็นหลัก บ้านผมอยู่ทางตะวันตก เดินไปทางตะวันออกก็คือเดินเข้าหาแม่น้ำแม่กลอง

ผมกำลังเดินอยู่ ข้างหน้าเป็นถนนหักศอก รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเลี้ยวหักศอกตามถนนมา จากตรงนั้นมาถึงที่ผมเดินอยู่ไกลพอสมควร มอเตอร์ไซค์เปิดไฟเลี้ยวค้างอยู่ เข้าใจได้ไม่ยาก เปิดตอนเลี้ยวมุมถนน แล้วลืมปิด

คนขับมอเตอร์ไซค์เปิดไฟเลี้ยวค้างมักเป็นสุภาพสตรี อันนี้ขอประทานโทษท่านสุภาพสตรีทั้งหลายด้วย เป็นข้อมูลเชิงสถิติส่วนตัวเท่านั้นนะครับ อาจไม่เป็นจริงเสมอไป 

พอมอเตอร์ไซค์คันนั้นใกล้เข้ามา ผมก็ใช้สัญญาณมือ นึกถึงภาพท่านยื่นกำปั้นไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่แทนที่จะเป็นกำปั้น ท่านก็กางนิ้ว คว่ำมือลง รวบปลายนิ้วเข้าด้วยกันแล้วกางนิ้วออก แล้วรวบ ทำสลับกันหลายๆ ครั้ง 

สัญญาณมือแบบนี้ผมแปลเอาเองว่า “ไฟเลี้ยว” 

ได้ผลครับ คนขับก้มลงมองหน้าปัด ปกติที่หน้าปัดมอเตอร์ไซค์ ถ้าเปิดไฟเลี้ยวจะมีสัญญาณเตือน บางรุ่นเป็นไฟกระพริบ บางรุ่นเป็นเสียงปี๊บเบาๆ ติดต่อกัน 

เขาปิดไฟเลี้ยว แล้วก้มศีรษะเล็กน้อย 

สัญญาณหัวแบบนี้แปลว่า “ขอบคุณ” 

—————

ตอนนี้ริมเขื่อนแม่น้ำแม่กลองช่วงตั้งแต่หน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่าถึงสะพานรถไฟ ด้านล่างทางเดินทะลุถึงกันได้ตลอดแล้ว สิ่งกีดขวางที่เคยหลงเหลืออยู่ตามรูปแบบการก่อสร้างเมื่อเริ่มแรกถูกปรับแก้จนโล่งตลอด เดินได้สะดวกดีด้วยประการทั้งปวง เช้าๆ อากาศริมน้ำสดชื่น เหมาะแก่การเดินอย่างยิ่ง 

สิ่งกีดขวางด้านล่างที่กล่าวนี้ ผมเคยเขียนถึงมากกว่าหนึ่งครั้ง ร้อนถึงท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยหนึ่งต้องเชิญไปปรับทัศนคติ -เอ๊ย! -ปรับความเข้าใจกันตรงริมเขื่อนที่เกิดเหตุนั่นเลย บอกว่าลุงใจเย็นๆ กำลังทำอยู่ 

ตอนนี้ทำเรียบร้อยแล้วแล้ว ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ใครที่ยังไม่รู้ หรือยังไม่เคยเดิน ขอเรียนเชิญด้วยความเคารพครับ

—————

เดินไปจนสุดทาง มีราวเหล็กกั้น ติดสะพานธนะรัชต์และสะพานรถไฟ ถ้าจะขึ้นด้านบนต้องเดินย้อนกลับประมาณ ๑๐๐ เมตรจึงมีบันไดขึ้น 

ผมขอเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทำบันไดขึ้นด้านบนตรงสุดทางนั่นเลยจะดีมากๆ ใครประสงค์จะขึ้นไม่ต้องเดินย้อนกลับ ขึ้นตรงนั้นได้เลย

หวังว่าคงต้องรออีกนานนนน กว่าคำเสนอแนะนี้จะรู้ไปถึงหูตาของผู้บริหาร แต่ไม่เป็นไร รอได้ครับ

—————

ข้ามสะพานรถไฟ ลงฝั่งทหาร เดินลัดเลาะเลียบค่ายทะลุไปจนถึงหน้าห้างบิ๊กซี เลี้ยวซ้ายไปข้ามสะพานสิริลักขณ์ (ชื่อสะพานนี้สะกดแบบนี้) เกือบถึงกลางสะพานผมก็เห็นกล่องกระดาษตกอยู่ ไม่ถึงกลางพื้นถนน แต่ชิดริมซ้าย รถวิ่งมาต้องเบี่ยงหลบเล็กน้อย

พอเดินมาถึงที่กล่องกระดาษตกอยู่ ผมใช้หลักวิชาทหารเก่า หยุดเดิน ยืนตรงแล้วทำขวาหัน

หยุดเดิน-ยืนตรง ไม่ต้องกลัวใครจะมาชนหลังหรือกีดขวางทางใคร เพราะบนสะพานไม่มีคนเดิน มีผมคนเดียว

ขวาหันคือหันหน้าลงถนน มองไปทางขวา รอจนรถว่างผมก็ยื่นมือไปเก็บกล่องกระดาษนั้น แล้วถือไปจนลงสะพานอีกฟากหนึ่ง

บริเวณนั้นไม่มีที่ทิ้งขยะ แต่พอมีที่สำหรับวางหลบไว้ได้ ถ้าไม่มีใครมาทำอะไร มันก็น่าจะผุเปื่อยหรือเป็นอาหารปลวกอยู่ตรงนั้น ผมก็เลยวางมันไว้ตรงนั้น

—————

ทำแบบผมนี่ต้องระวังตัวด้วย ถ้าพลาดพลั้งไป ท่านจำพวกที่รอรุมกระทืบมีอยู่ทั่วไป ประโยคแรกที่คาดเดาได้ก็คือ “ไม่เจียมสังขาร” ฮ่า ฮ่า ฮ่า 

เพราะฉะนั้น ต้องระวัง ต้องมีสติให้มาก ไม่ชัวร์อย่าทำ

—————

เล่าทำไม? 

เล่าให้คนที่อยากได้แรงบันดาลใจฟัง 

ทำความดีไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ 

แม้เรื่องเล็กๆ ก็ทำได้ และควรทำด้วย

คนขับมอเตอร์ไซค์กับผมไม่รู้จักกัน สถานะเดียวที่เรามีต่อกันคือเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน-เท่านั้นเอง

ขยะบนสะพาน ไม่ใช่กงการอะไรที่ผมจะต้องเก็บ ความคิดเดียวที่มีอยู่ก็คือเราพอทำได้ และควรทำ-เท่านั้นเอง

อะไรๆ ที่ควรทำในโลกนี้มีอีกเยอะแยะ คนที่ไม่ทำเพราะทำไม่ได้ ไม่สะดวก ไม่พร้อม-นั่นเราควรเห็นใจ ต้องเข้าใจกัน และอย่าว่าอะไรกัน 

ส่วนคนที่สามารถทำได้ สะดวก และพร้อม แต่ไม่ทำ

เขาอาจจะกำลังรอแรงบันดาลใจอะไรสักอย่าง

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๔

๑๕:๓๓

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *