แนวคิดเรื่องอันตรธาน
แนวคิดเรื่องอันตรธาน
ญาติมิตรที่ติดตามผมมาย่อมจะสังเกตได้ว่า ผมพยายามมาตลอดในการกระตุก กระตุ้น กระทบ กระแทก กระทุ้ง ให้ผู้ที่เรียนบาลีมีอุตสาหะลุกขึ้นศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา
ไม่ใช่อิ่มเอมเปรมใจชื่นชมยินดีอยู่แค่ว่าฉันสอบผ่านแล้ว ฉันเรียนจบแล้ว ฉันบรรลุเป้าหมายแล้ว ฉันไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว
เคยนึกเฉลียวใจไหมครับว่า ไม่มีชาติไหนหรือชุมชนไหนในโลกใช้ภาษาบาลีสื่อสารกันในชีวิตประจำวันเลยแม้แต่ชาติเดียวชุมชนเดียว
แล้วเราเรียนบาลีไปทำไม?
เรียนภาษาที่ไม่มีใครเขาใช้ พูดสำนวนใหม่ก็ว่า-จะบ้าเรอะ
แหล่งข้อมูลที่บันทึกไว้เป็นภาษาบาลีในโลกนี้มีที่เดียวเท่านั้น คือที่เรียกรวมๆ กันว่า-พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา
พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกานี่แหละคือเป้าหมายที่นักเรียนบาลีจะต้องบุกเข้าไปให้ถึง
เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา ก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบที่แต่งเครื่องรบครบเครื่อง แต่ไม่ออกรบ
ยิ่งถ้ามีศึกสงครามที่ควรจะต้องออกรบ แต่ไม่ออกด้วยแล้ว หมดศักดิ์ศรีเลย
มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนาที่จะต้องตอบต้องอธิบายต้องชี้แจง เรียนบาลีแล้ว แต่ไม่ค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาหาคำตอบคำอธิบายคำชี้แจง ก็คือนักรบแต่งเครื่องรบครบเครื่อง ข้าศึกก็มาร้องท้าอยู่หน้าค่ายนั่นแล้ว – แต่ไม่ออกรบ ฉันเดียวกันนั่นแล้ว
เรื่อง “อันตรธาน” มีอยู่ในพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกา
ขึ้นไปให้ถึงต้นน้ำนะครับ จะได้สมศักดิ์ศรีหน่อย อย่าดักช้อนเอาตามปลายน้ำ
เรื่องกลองอานกะ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงพระศาสนาอันตรธาน มีทั้งในพระไตรปิฎกและในอรรถกถา
………………….
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2922906527803065
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2925007740926277
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2927565930670458
………………….
หนังสือพระปฐมสมโพธิกถาตอนท้ายมีกล่าวด้วยเรื่องอันตรธาน
เรื่องอันตรธานไม่ใช่แนวคิดของผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา
ผู้แต่งปฐมสมโพธิกถาเพียงแต่ไปหยิบเอามาจากคัมภีร์
เหมือนคนอ่านหนังสือไม่แตก บอกว่าไตรภูมิพระร่วงเป็นความคิดของพระธรรมราชาลิไท
พระธรรมราชาลิไทท่านเพียงแต่รวบรวมมติจากคัมภีร์มาเรียบเรียงเป็นไตรภูมิพระร่วง มติเหล่านั้นท่านไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง แต่มีอยู่ในคัมภีร์
แต่เรามักพูดกันว่า เรื่องในไตรภูมิพระร่วงเป็นแนวคิดของพระธรรมราชาลิไท
————-
เมื่อพูดถึงศาสนาเสื่อม มีคนชอบอ้างหลักอนิจจัง
และหลักเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องคำสอนให้ปล่อยวาง
ก็คือจะบอกว่าไม่ต้องไปคิดทำอะไร
ผมว่าก็เหมือนคนที่รู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตายแน่
แต่มีใครนอนรอความตายเฉยๆ กันบ้าง?
ที่พยายามคิดอ่านเรื่องนี้ ไม่ใช่จะพยายามรั้งไม่ให้ศาสนาเสื่อม
แต่พยายามจะบอกว่าเราควรทำอะไรกัน มันจึงจะถูกต้อง
ไม่ใช่นอนรอความเสื่อมอยู่เฉยๆ
จะยกเอาสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาอ้างก็ได้
เช่นอ้างว่าพระทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ศาสนาก็ยังอยู่ได้
คนไม่สนใจพระไตรปิฎกเลย เขาก็ยังอยู่ได้
ก็อ้างไป
อันที่จริง พูดให้หนักไปกว่านั้นก็ยังได้ –
คนที่นับถือศาสนาอื่น คนที่เขาดูถูกดูหมิ่นศาสนาพุทธ เขาก็ยังอยู่กันมาได้ ไม่เห็นเขาเป็นอะไร
อย่าว่าเพียงแค่มีพระประพฤติวิปริตผิดพระธรรมวินัยเท่านั้นเลย
ต่อให้ไม่ต้องมีศาสนาพุทธทั้งศาสนานั่นเลย โลกนี้ทั้งโลกก็ยังอยู่กันได้
แล้วจะต้องมาเป็นห่วงกังวลอะไรไปทำไม
อยู่กันไปแบบนี้แหละ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ นี่แหละเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว
————-
ผมเคยเขียนไว้นานแล้ว ขออนุญาตยกมาปิดท้ายอีกที
……………………………
ยุคมิคสัญญี คือยุคแห่งความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมนั้นมาถึงแน่
ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นปรารภสู่กันฟัง มิใช่เพื่อจะให้ช่วยกันคิดแก้ไข
เพราะทำอย่างไรก็ห้ามไม่ฟัง รั้งไม่หยุดอยู่แล้ว
เพียงแต่อยากให้ช่วยกันรู้ทันเอาไว้
เหมือนกับนั่งไปในรถไฟขบวนเดียวกัน
และเรารู้แน่แล้วว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือหุบเหว
จะทำอะไร จะรักษาชีวิตกันอย่างไร ก็รีบๆ คิดอ่านกันเข้าเถิด
รถไฟขบวนนี้หยุดไม่ได้นะครับ
……………………………
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๔ กันยายน ๒๕๖๔
๑๖:๓๐
ภาพประกอบ: หอไตรที่บรรพบุรุษของเราท่านสร้างไว้เพื่อเป็นที่เก็บรักษาและศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก แต่ทุกวันนี้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีไว้เพื่อดูศิลปะสถาปัตยกรรมโบราณ