ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๑)
ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๓)
ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก (๓)
—————————
เวลานี้มีที่หนักกว่าที่ว่ามา นั่นคือ ไม่รู้บาลีแต่อวดรู้แบบผิดๆ
เจ้าสำนักแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีความรู้หลักภาษาบาลี ท่านแปลคำว่า “สกิเทว” (สะ-กิ-เท-วะ) ว่า “เทวดาคราวเดียว”
เรื่องนี้ยาวหน่อย และมีคำบาลีมาก ขอได้โปรดอดทนอ่านสักหน่อย เพื่อจะได้รู้ว่าคนไม่รู้แต่ชอบชี้มีอยู่จริงๆ
ในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งข้อความว่า –
……………….
ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี โหติ สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ.
……………….
ที่มาของข้อความนี้ก็คือ มหาลิสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๒๕๑ และเป็นพุทธวจนะ คือคำที่พระพุทธเจ้าตรัสเอง (ข้อความเช่นนี้มีในที่อื่นๆ ในพระไตรปิฎกอีกด้วย)
พระไตรปิฎกภาษาไทยแปลว่า –
……………………………………….
“ภิกษุเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงอีกครั้งเดียวจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสัญโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางไป”
……………………………………….
แปลทีละคำดังนี้ –
สกทาคามี = ภิกษุผู้เป็นสกทาคามี
อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา = มาสู่โลกนี้
สกิเทว = เพียงอีกครั้งเดียว
ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ = จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา = เพราะสัญโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป
ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา = เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางไป
……………….
ข้อความที่เจ้าสำนักแห่งนั้นยกมาแปล ท่านตัดมาเฉพาะ – สกทาคามี โหติ สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา
คำแปลตามความเห็นของท่านที่ปรากฏในเอกสารประกอบคำบรรยายเป็นดังนี้ –
สกทาคามี = ผู้มาถึงคราวเดียว
โหติ = มี, เป็น
สกิเทว = เทวดาคราวเดียว
อิมํ = นี้
โลกํ = โลก (มนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง)
อาคนฺตฺวา = ผู้มาเยือน
……………….
คนที่รู้บาลี มาได้เห็นคำแปลของท่านดังนี้ก็จะรู้ทันทีว่าเป็นการแปลแบบคนไม่รู้ แต่ชอบชี้
“สกิเทว” แปลว่า “เทวดาคราวเดียว” ไม่มีในหลักภาษาบาลีฉบับใดๆ ทั้งสิ้น
“อาคนฺตฺวา” เป็นคำกริยา แปลว่า “มาแล้ว” แต่ท่านเจ้าสำนักนั้นแปลว่า “ผู้มาเยือน” ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า “อาคนฺตุก” (อา-คัน-ตุ-กะ) ย้ำถึงการแยกความแตกต่างของคำบาลีไม่เป็น ซึ่งก็คือ ไม่รู้บาลีนั่นเอง
“อาคนฺตฺวา” กับ “อาคนฺตุก” ความหมายคนละอย่างกัน คนรู้บาลีจะไม่แปลอย่างนี้
ผมเคยพยายามอธิบายให้ท่านฟังมาแล้วว่า —
“สกิเทว” เป็นรูปคำสนธิระหว่าง สกึ (สะ-กิง) + เอว (เอ-วะ)
สองคำนี้ไปดูคำแปลจากพจนานุกรมฉบับไหนก็ได้ จะตรงกันหมด
“สกึ” แปลว่า “ครั้งเดียว” หรือ “คราวเดียว” = once
“เอว” แปลว่า “นั่นเทียว” “เท่านั้น” นั่นแหละ” = only
“เอว” เป็นคำประเภท “นิบาต” คำพวกนี้ไม่เปลี่ยนรูป คือไม่แจกด้วยวิภัตติปัจจัยเป็น เอโว เอวา เอวํ เอเว อะไรแบบนี้
“เอว” กลายเป็น “เทว” ไม่ใช่เกิดจากการเปลี่ยนรูปด้วยวิภัตติปัจจัย แต่เกิดจากการกลายเสียงเมื่อคำสองคำมาเชื่อมกัน
ถ้าอ้างสูตรก็ว่า “แปลงนิคหิตเป็น ท”
นิคหิตก็คือ “อํ” : สกิ + อํ = สกึ (สะ-กิง)
แปลง อํ ที่ สกึ เป็น ท ก็คือ สกึ = สกิท (สกึ หายไป กลายเป็น สกิ-)
สกิท + เอว = สกิเทว (เอ– มีแต่เสียง ไม่มีรูป อ อ่าง = เ-ว)
: สกิท + เ–ว = สกิเทว
“สกิเทว” จึงแปลว่า “ครั้งเดียวเท่านั้น” = once only
“-เทว” ตรงนี้จึงไม่ใช่ “เทว” ที่แปลว่า “เทวดา”
ไม่มี “เทวดา” อะไรอยู่ในคำนี้แต่ประการใดทั้งสิ้น
ถ้าไปดู “สกิเทว” ที่ใช้ในข้อความอื่นจะเข้าใจทันที เช่น –
……………….
เอวํ โข อหํ มหาราช อภิชานามิ วาจํ ภาสิตา นตฺถิ โส
สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา โย สกิเทว สพฺพํ ญสฺสติ สพฺพํ
ทกฺขติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ.
(มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ๑๓/๕๗๕)
……………….
ข้อความนี้พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เป็น “พระพุทธวจนะ” เช่นเดียวกัน
ข้อความนี้มีคำว่า “สกิเทว” เหมือนกัน และเป็นศัพท์เดียวกันกับในข้อความที่ท่านเจ้าสำนักยืนยันว่าต้องแปลว่า “เทวดาคราวเดียว” แปลอย่างอื่นไม่ได้
ความข้อนี้แปลว่า …
……………………………………….
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพจำคำที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์จักรู้ธรรมทั้งปวง จักเห็นธรรมทั้งปวง ในคราวเดียวเท่านั้นไม่มี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”
……………………………………….
ความหมายของพระพุทธวจนะนี้ก็คือ คนที่ฟังเทศน์ฟังธรรมเพียงครั้งเดียวแล้วจะรู้จะเห็นธรรมทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้
ฟังเทศน์ครั้งเดียวอาจได้บรรลุธรรมบางระดับ แต่ไม่ใช่รู้ธรรมทั้งหมด พระพุทธวจนะตรัสไว้ดังนี้
ถ้าจะแปล “สกิเทว” ว่า “เทวดาคราวเดียว” ข้อความนั้นก็จะต้องเป็นว่า …
……………………………………….
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพจำคำที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์จักรู้ธรรมทั้งปวง จักเห็นธรรมทั้งปวง ‘เทวดาคราวเดียว’ ไม่มี ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”
……………………………………….
พระพุทธวจนะก็จะเข้ารกเข้าพงไปหมด
“เทวดาคราวเดียว” มาเกี่ยวอะไรด้วยกับพระพุทธวจนะนี้?
ท่านเจ้าสำนักย้ำยืนยันว่า “สกิเทว” ต้องแปลว่า “เทวดาคราวเดียว” เท่านั้น แปลอย่างอื่นผิด
ซ้ำบอกว่า แปลผิดกันมาทั่วประเทศ
เขาแปลถูกกันทั่วประเทศ แต่ท่านบอกว่าแปลผิด แต่ที่ท่านแปลผิดนี้ท่านยืนยันว่าแปลถูก – เอากะท่านสิ
……………….
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดจากการไม่รู้บาลีแล้วเอาความไม่รู้นั้นไปแสดงให้คนอื่นเข้าใจผิดต่อๆ กันไปอีก
แค่ไม่รู้บาลีแต่ไปเรียนพระไตรปิฎก ก็เสี่ยงมากอยู่แล้วต่อการที่จะรู้ผิดเข้าใจผิด
ยิ่งเอาความไม่รู้นั้นไปบอกต่อ ก็ยิ่งแพร่ความรู้ผิดเข้าใจผิดให้ระบาดหนักขึ้นไปอีก
ทางแก้ก็คือ ถ้าจะเรียนพระไตรปิฎก จงเรียนภาษาบาลีให้พอรู้-จนถึงรู้ดีที่สุด
ถ้าไม่สามารถเรียนภาษาบาลีได้ จำเป็นจะต้องเรียนพระไตรปิฎกฉบับแปล ก็ต้องมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อใช้ตรวจสอบว่า พระไตรปิฎกที่แปลมานั้นแปลถูกต้องหรือไม่
ถ้าไปเจอข้อความที่แปลผิดหรือคลาดเคลื่อนจะรู้ได้หรือไม่ หรือจะรู้ได้อย่างไร แล้วจะมีวิธีตรวจสอบได้อย่างไร
แต่เรื่องหนึ่งที่ขอยืนยันก็คือ เรียนพระไตรปิฎกจากฉบับแปลจะได้รับอรรถรสไม่เท่าและไม่เหมือนกับที่เรียนจากต้นฉบับบาลี
อุปมาพอให้เห็นภาพ
เรียนพระไตรปิฎกจากฉบับแปล เหมือนรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเดียว แต่ไม่มีรสชาติ
เรียนพระไตรปิฎกจากต้นฉบับบาลี เหมือนรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้วย และเป็นอาหารที่ปรุงอร่อยด้วย
ถึงตรงนี้คงมีคนอยากบอกว่า – ฉันต้องการอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ฉันไม่ต้องการกินเพื่ออร่อย
อนึ่ง น่าจะมีความคิดที่ออกมาปกป้องด้วยว่า – แค่เขามีกุศลจิตเรียนพระไตรปิฎกก็ประเสริฐอยู่แล้ว จะต้องกะเกณฑ์ให้เขารู้บาลีไปถึงไหนกันอีก
จึงขอตอบว่า จะเอาอย่างนั้นก็เชิญตามสบาย คือเรียนพระไตรปิฎกโดยไม่ต้องรู้บาลีไปตามสบายเถิด ไม่มีใครห้าม
แต่ก็ยังจะต้องสรุปให้เข้าใจอยู่นั่นเองว่า ไม่รู้บาลีก็เรียนพระไตรปิฎกได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบมากเป็นพิเศษ อย่างน้อยควรรู้จักวิธีที่จะตรวจสอบได้ว่าที่เขาแปลมานั้นถูกต้องแน่แล้วหรือ
มิเช่นนั้นจะมีอาการเหมือนคนหลับตาเดิน
หรือไม่ก็-เหมือนคนที่พูดบรรยายอธิบายความถึงสิ่งที่คนพูดเองก็ไม่เคยเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง
แต่ก็อย่าเพิ่งท้อแท้หรือหมดกำลังใจ ขอย้ำว่า ไม่รู้บาลีก็เรียนพระไตรปิฎกได้ เพียงแต่ว่าต้องเหนื่อยมากหน่อยเท่านั้น
เข้าใจตรงกันนะครับ
เรื่องนี้ยาว-ยังมีต่ออีกครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
๑๑:๑๐
ใครควรศึกษาพระไตรปิฎก ( ๔ )
(๔)https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/2612063662220688……………………………………