จงเรียกมันว่าความเสื่อม (1)
จงเรียกมันว่าความเสื่อม (14)
จงเรียกมันว่าความเสื่อม (14)
————————-
ตอน-ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เมื่อมีการลบหลู่พระพุทธปฏิมา เช่น –
คนขึ้นไปเหยียบเศียรพระพุทธรูป
ประดิษฐ์ม้านั่งเป็นเศียรพระพุทธรูป
ทำโถส้วมเป็นพระพักตร์พระพุทธรูป เ
อาพระพุทธรูปไปตั้งเป็นเครื่องประดับร้านเหล้า
ฯลฯ
แล้วมีภาพมีข่าวเผยแพร่ออกไป
ก็จะมีท่านจำพวกหนึ่งออกมาแสดงความเห็นว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นเราจึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าเขาดูถูกเรา
ผมเคยเห็นท่านผู้หนึ่งให้เหตุผลลึกไปกว่านั้นอีก คือท่านบอกว่า ก็เพราะเราไปสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาใช่ไหม จึงมีคนลบหลู่ ถ้าเราไม่สร้างพระพุทธรูป ใครจะมาลบหลู่อะไรที่ไหนได้
ยังแถมให้อีกด้วยว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้สร้างรูปเคารพ
ตามความเห็นของท่านจำพวกนี้ ดูเหมือนว่าเราจะต้องทุบทำลายพระพุทธปฏิมาทุกชนิดทุกขนาดที่มีผู้สร้างขึ้นไว้ในโลกนี้ให้สูญสิ้นเป็นผุยผง-นั่นแหละจึงจะแก้ปัญหาได้
น่าเสียดายที่ท่านที่เสนอแนวคิดชนิดนี้ไม่ได้แสดงวิธีทำไว้ให้ด้วย
…………
เวลามีข่าวพระสงฆ์ประพฤติเสื่อมเสีย หรือข่าวที่กระทบต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา หรือข่าวความประพฤติที่ขาดคุณธรรมศีลธรรมของผู้คนในสังคม
ก็มักจะมีท่านจำพวกหนึ่งออกมาแสดงความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง มีเจริญมีเสื่อมตามวิสัยธรรมดาของโลก มันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น คิดมากก็เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ
…………
การยกเอาความไม่ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาอ้างเช่นนี้ สังเกตดูว่าเป็นที่นิยมกันมากอยู่ และดูเหมือนจะเข้าใจว่าเมื่อบอกเช่นนั้นแล้วก็หมดหน้าที่
หมดหน้าที่แปลว่าไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป
ใครยังขืนเข้าไปทำอะไร ก็จะถูกขนาบ .. พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นญาติมิตรทั้งหลายคิดอย่างไร?
…………
เรื่องนี้ถ้าอธิบายด้วยเหตุการณ์สมมุติ อาจช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
สมมุติว่าคนในครอบครัวเรา-เช่น พ่อแม่ สามีภรรยา หรือลูกหลาน-เจ็บป่วย
สิ่งที่เรารู้กันก็คือ ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา
เป็นการถูกต้องหรือไม่-ถ้าเราจะคิดว่า ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ใครจะเจ็บจะป่วยอย่างไร ก็ปล่อยให้ป่วยไปตามปกติธรรมดา เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ต้องรักษาพยาบาล ไม่ต้องทำอะไร เพราะถ้าขืนไปทำอะไรเข้า จะกลายเป็นว่าเราไปยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้น เราก็นั่งดูคนเจ็บป่วยอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร
จะเห็นได้ทันทีว่าไม่ใช่เช่นนั้นเลย
ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา นั่นถูกต้องแล้ว แต่เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษาพยาบาลกันไปตามสภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้เจ็บป่วยอยู่อย่างนั้นโดยอ้างว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วไม่ทำอะไรให้สมควรแก่เหตุ ทั้งๆ ที่ทำได้
แบบนั้นไม่ใช่ธรรมดา หากแต่วิปริตผิดธรรมดา
แต่ถ้ารักษาพยาบาลเต็มความสามารถแล้ว คนป่วยตายลงไป ตรงนี้แหละเป็นหน้าที่ของความไม่ยึดมั่นถือมั่น
ความตายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไม่สามารถจะไปยื้อยุดฉุดรั้งไม่ให้ตายได้ ก็ต้องทำใจให้เข้าถึงความเป็นจริง-นั่นคือไม่ยึดมันถือมั่น ไม่เอะอะโวยวายว่า-มาทำให้พ่อแม่ผัวเมียลูกหลานของฉันตายทำไม พ่อแม่ผัวเมียลูกหลานของฉันจะต้องไม่ตายตอนนี้ จะต้องอยู่ไปถึงร้อยปีจึงค่อยตาย ฯลฯ
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นงานทางใจ เป็นเรื่องของการทำใจ
คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น มีสุขมีทุกข์มากระทบก็ไม่กระเทือน ไม่มีอาการขึ้นๆ ลงๆ ไปตามแรงกระทบ
เมื่อไม่กระเทือน ก็มั่นคง มีสติตั้งมั่นพอที่จะรู้ว่าถึงตอนไหนควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
คนชนิดนี้จึงสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ไม่หวั่นไหววุ่นวายจนเสียหน้าที่
นี่คือผลที่ประสงค์ของการไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างถูกต้อง
การไม่ทำอะไร ไม่แก้ปัญหาอะไร ได้แต่ท่องคาถา-ไม่ยึดมั่นถือมั่น-จึงไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง
ยิ่งไปอ้างว่าพระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นแล้วมาทำแบบนี้ ก็เข้าข่ายกล่าวตู่พระพุทธพจน์ ทำให้คนเข้าใจผิดในคำสอนของพระพุทธองค์ไปด้วย
พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
แต่ไม่ได้ทรงสอนให้ละเลยต่อหน้าที่
ไม่ได้ทรงสอนให้งอมืองอเท้าแล้วแต่ชะตากรรมจะนำไป แล้วท่องคาถาว่า ข้าไม่ยึดมั่นถือมั่น
ทรงสอนให้ทำหน้าที่ ให้ใช้ความพยายามให้เต็มที่ พร้อมๆ ไปกับไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความหมายที่ว่า-เมื่อทำเหตุเต็มกำลังแล้ว ผลเกิดขึ้นอย่างไรก็เข้าใจและยอมรับความเป็นจริงตามธรรมดาของสิ่งนั้นๆ อย่างมีสติ
———————
ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น แปลว่าไม่ต้องทำอะไร …
ต่อไป ถ้ามีใครมาทุบพระแก้วมรกต ก็ควรปล่อยให้เขาทุบไปตามสบาย เราไม่ยึดมั่นถือมั่น
ใครเอาระเบิดมาระเบิดองค์พระปฐมเจดีย์ เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น พระปฐมเจดีย์ไม่ใช่ของเรา ปล่อยให้เขาระเบิดไปตามสบาย
ทหารก็ไม่ต้องป้องกันประเทศ เพราะประเทศไม่ใช่ของเรา ใครจะมายึดครอง ก็ยกประเทศให้เขาครองแต่ดีๆ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
ลูกหลานไทยติดยาเสพติด อ่อนแอ ป้อแป้ ไม่สู้งาน เอาแต่เสพสุขไปวันๆ ก็ปล่อยให้เขาเป็นไป เขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เราไม่ยึดมั่นถือมั่น
ฯลฯ
ฯลฯ
อาจมีหลายท่านที่คันปาก อยากจะย้อนถามดังๆ ว่า แล้วจะให้ทำอย่างไร
ก็ตรงนี้แหละที่มันวัดกึ๋นของเรา
วัดว่าใครบ้างที่มีสติปัญญารู้วิธีจัดการอย่างแยบยลเมื่อเกิดปัญหานั้นๆ
ใครบ้างที่พยายามอย่างไม่ลดละที่จะหาคำตอบว่าเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราควรต้องทำอะไรอย่างไร
ถ้ายังไม่เคยคิด ยังไม่เคยฝึกสติปัญญา ยังไม่เคยเตรียมหาวิธีการ ก็สมควรแท้ที่จะเริ่มคิด เริ่มฝึก เริ่มดำริตริตรองมองลู่ทางไว้ตั้งแต่บัดนี้
ไม่ใช่เอาแต่ร้องถามว่า-แล้วจะให้ทำอย่างไร
แต่ถ้าใครยังไม่คิดจะทำอะไร นอกจากท่องคาถา “ไม่ยึดมั่นถือมั่น” ก็คงไม่ต้องบอกนะครับว่าจะเรียกว่าอะไรดี
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒
๑๕:๑๕
……………..
บทความชุด “จงเรียกมันว่าความเสื่อม”
……………..
ตอน1 เป็นพระทำงี้ได้ไง
…………….
ตอน 2 โยนหินถามทาง
……………..
ตอน 3 มุมที่ลืมมอง
……………..
ตอน 4 กฎหมายคือพระเจ้า
……………..
ตอน 5 นะจังงัง
……………..
ตอน 6 ต้นแบบของคนดี
……………..
ตอน 7 แผน “กันที่ไว้รอท่า”
……………..
ตอน 8 ความโง่ของคนฉลาด
……………..
ตอน 9 คุณสมบัติของผู้บริหารบ้านเมือง
……………..
ตอน 10 ท่าทีของเพื่อนแท้
……………..
ตอน 11 นักฉวยโอกาสที่น่ารังเกียจ
……………..
ตอน 12 มองภาษาไทย เห็นจิตใจของผู้คน
……………..
ตอน 13 ขอเดชะตั้งจิตอุทิศผล