บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (1)

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (8)

จงเรียกมันว่าความเสื่อม (8)

———————-

ตอน-ความโง่ของคนฉลาด

ญาติมิตรที่ได้อ่านเรื่อง “เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ และทุกๆ วัน ตลอดไป” ที่ผมเขียนไปเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ อันว่าด้วยเรื่องในหลวงรัชกาลที่ ๙ น่าจะมีบางท่าน-โดยเฉพาะท่านที่ติดเชื้อลัทธิล้มเจ้า-ที่รู้สึกว่าผมเป็นคนประเภทที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า royalist คือถูกครอบงำด้วยความงมงาย หลงบูชาเจ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา

แต่ผมมีวิธีคิดเป็นของผมเอง

ผมฟังพระเทศน์มาตั้งแต่เป็นเด็กวัดว่า บุพการีของเรามี ๔ ประเภท คือ –

๑ บิดามารดา เป็นบุพการีของบุตรธิดา

๒ ครูบาอาจารย์ เป็นบุพการีของศิษยานุศิษย์

๓ พระมหากษัตริย์ เป็นบุพการีของพสกนิกร

๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุพการีของพุทธศาสนิกชน

แรกๆ ผมก็เชื่อพระ เพราะผมยังคิดเองไม่เป็น 

ต่อมาเมื่อได้ศึกษาพอมีความรู้ความคิดบ้าง ผมก็เชื่อความรู้ความคิดของตัวเอง 

คือผมเชื่อว่าบุพการีมี ๔ ประเภทตามนั้น แต่ตอนนี้ไม่ได้เชื่อเพราะพระท่านเทศน์ หากแต่เชื่อเพราะความรู้ความคิดของตัวเองบอกผมเช่นนั้น

บิดามารดาให้ชีวิต

ครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้

พระมหากษัตริย์ให้แผ่นดินถิ่นอาศัยคุ้มภัยให้อยู่เย็นเป็นสุข

พระพุทธศาสนาให้จิตวิญญาณ ให้ดำรงความเป็นมนุษย์อยู่ได้และพัฒนาให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

ผมได้ข้อสรุปอย่างนี้ด้วยตัวของผมเอง

ไม่มีใครมาเป่าหูให้ผมเชื่ออย่างนี้คิดอย่างนี้

แนวคิดของพวกล้มเจ้าเขาบอกว่า พระมหากษัตริย์ไม่มีประโยชน์ คือไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เอาแต่เสวยสุข ถ้าเป็นสมัยโบราณก็คือเอาแต่แผ่อำนาจและกดหัวประชาชน

ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ หนังสือเล่มนี้พวกล้มเจ้าบูชาเหมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เนื้อหาบรรยายถึงความเลวทรามของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา หยิบเอาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ช่วงนั้นช่วงโน้นมาอธิบายว่านี่คือการแผ่อำนาจกดหัวราษฎร

ตอนนั้นผมยังหนุ่มไฟแรง อ่านแล้วก็-เลือดฉีดดี

เมื่อศึกษาหาความรู้ต่อๆ มา ผมก็เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เขียนอย่างมีอคติ และที่สำคัญก็คือ เอาไม้บรรทัดอันเดียวไปเที่ยววัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามเกณฑ์ของไม้บรรทัดอันนั้นโดยไม่ยอมรับรู้สภาพสังคมและหลักนิยมในแต่ละยุคสมัย

———————-

พวกเราในยุคสมัยนี้ล้วนเกิดไม่ทันยุคที่บรรพบุรุษของเราแรกสร้างบ้านแปลงเมือง แต่ก็พอรู้ได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์

เหมือนลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนยุคนี้ที่เกิดไม่ทันยุคที่บรรพบุรุษหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนและตั้งตัวด้วยไม้คานอันเดียว

ถ้ามหาเศรษฐีเชื้อสายจีนยุคนี้ซึ่งไม่เคยรู้จักไม้คาน เห็นไม้คานปิดทองที่รุ่นปู่รุ่นทวดเก็บไว้บูชา แล้วเกิดความคิดว่า นี่มันช่างงมงาย ไร้สาระ เกะกะ รุงรัง แล้วเอาไม้คานนั้นไปทิ้งเสีย

นั่นคืออัปมงคล นั่นคือมหาวิบัติ ฉันใด

พวกที่ไม่รู้คุณสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็-มหาวิบัติฉันนั้น

ผมมีหลักคิดของผมว่า 

…………………

การจงรักภักดีเป็นหน้าที่ของพสกนิกร

การทรงเป็นทศพิธราชธรรมธรเป็นหน้าที่ของพระราชา

…………………

เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนอยู่แล้ว

ถ้าพระราชาพระองค์ใดไม่ทรงธรรม ก็เป็นความบกพร่องของพระราชาพระองค์นั้น

ทำไมจะต้องเอาความบกพร่องของพระราชามาเป็นสาเหตุให้เราบกพร่องต่อหน้าที่ของพสกนิกรไปอีกคนหนึ่ง

———————-

เหมือนเมื่อสื่อมวลชนเอาภาพเอาเรื่องภิกษุทุศีลมาประโคมเผยแพร่ ก็จะมีคนบางจำพวกร้องประกาศว่า ต่อไปนี้กูจะไม่ใส่บาตรอีกแล้วโว้ย

โง่หรือฉลาดที่ประกาศอย่างนั้น

ผมมีหลักคิดของผมว่า 

…………………

การทำบุญเป็นหน้าที่ของเรา

การทำกิเลสให้บางเบาเป็นหน้าที่ของพระ

…………………

เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนอยู่แล้ว

พระที่ประพฤติทุศีล คือผู้ที่บกพร่องต่อหน้าที่ของท่าน เท่านี้พระศาสนาก็บอบช้ำอยู่แล้ว

แล้วชาวเรายังจะมาชวนกันบกพร่องต่อหน้าที่ของตัวเองซ้ำเข้าไปอีก

ซ้ำเติมความบอบช้ำให้หนักเข้าไปอีก

โง่หรือฉลาดที่ประกาศอย่างนั้น

โง่หรือฉลาดที่ประกาศปิดทางบุญของตัวเองแบบนั้น

———————-

ผมใช้ชีวิตเป็นชาววัดมา ๒๐ ปี เห็นมาหมด ทั้งความบริบูรณ์และความบกพร่องของชาววัด 

แต่ผมไม่เคยขาดความเคารพในพระรัตนตรัย

เจอะเจอพระสงฆ์สามเณรที่ไหน ผมน้อมไหว้แบบถวายหัวใจ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ-แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพระที่ผมไหว้นั้นท่านบกพร่อง

คนที่รู้จักผม คบกับผม จะเป็นพยานในแนวปฏิบัติของผมได้ดี

ท่านบกพร่องก็เรื่องของท่าน

แต่การแสวงบุญเป็นเรื่องของผม

ผมเรียนรู้วิธีทำบุญว่ามีถึง ๑๐ วิธี หนึ่งในนั้นคือ “อปจายนมัย” บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมไหว้ ซึ่งผมถอดความเป็นแนวปฏิบัติสำหรับตัวเองว่า “ทำบุญไหว้พระ”

บางท่านอาจจะบอกว่า พระแบบนี้ไม่ไหว้ให้เสียมือ

คิดแบบนี้ก็เท่ากับปิดทางบุญของตัวเองไปเรียบร้อย

คำคนเก่าท่านพูดกันมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดว่า “นึกเสียว่าไหว้ผ้าเหลือง” ผมถือว่าเป็นการชี้ขุมทรัพย์อันประเสริฐ

เพราะคนเก่าท่านย่อมรู้เหมือนกับที่เรารู้ว่า พระที่บกพร่องย่อมมีมาทุกยุคทุกสมัย ท่านกลัวลูกหลานของท่านจะปิดทางบุญของตัวเอง จึงชี้ขุมทรัพย์ไว้ให้ 

แล้วทำไมเราจึงไม่มอง

ทำไมจึงจะพากันบกพร่องไปเสียอีกคนหนึ่ง

ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่อาจยืนยันได้ว่าเป็นหลักวิชา นั่นคือ ผมสังเกตเห็นว่า ผมเดินไปตามถนน เห็นพระเดินสวนทางมา แล้วท่านไม่สำรวมกิริยา เช่น สูบบุหรี่ หัวเราะเฮฮา พูดเสียงดัง ถลกชายจีวรขึ้นพาดบ่า เดินเป็นแถวหน้ากระดานแทนที่จะเดินเรียงตามลำดับอาวุโส ฯลฯ 

เมื่อผมหยุดเดิน ถอดหมวกแล้วน้อมไหว้ พระท่านจะรีบสำรวมกิริยาทันที ผมเคยเห็นบางรูปสะดุ้งด้วย

เราญาติโยมให้ความสำคัญแก่พระ

พระท่านก็จะเห็นความสำคัญของตัวท่านเอง

เราเคารพพระ

พระท่านก็จะเคารพตัวเอง

โดยแนวคิดเช่นนี้ ผมจึงถือหลักว่า ถ้าสมมุติว่าพระราชาจะทรงบกพร่องต่อหน้าที่ของพระองค์ ก็เป็นความบกพร่องส่วนพระองค์ของท่านเอง

ถ้าเราขาดความจงรักภักดี เราก็เลยบกพร่องไปอีกคนหนึ่ง

แทนที่จะเสียต่อเดียว กลายเป็นเสียสองต่อ

แรงภักดีของพสกนิกรย่อมจะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ให้พระราชาทรงดำรงพระองค์อยู่ในธรรม เหมือนแรงเคารพที่เรามีต่อพระสงฆ์จะเป็นพลังให้พระสงฆ์ท่านเคารพตัวเองและดำรงอยู่ในพระธรรมวินัย

คนที่รักกันจริง ควรหาวิธีทำให้คนที่เรารักรู้ตัวว่าเขาควรทำถูกทำดี

แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีทำตัวเองให้บกพร่องต่อหน้าที่-ดังเช่นท่าทีการแสดงออกของพวกล้มเจ้า หรือคนที่ประกาศว่า ต่อไปนี้กูจะไม่ใส่บาตรอีกแล้วโว้ย

แบบนั้น ใครจะเรียกว่าฉลาด ก็เรียกไปเถิด

แต่ผมไม่เรียก

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐

๑๕:๓๗

……………..

ตอน 9 คุณสมบัติของผู้บริหารบ้านเมือง

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

……………..

ตอน 7 แผน “กันที่ไว้รอท่า”

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

……………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *