บทความชุด: ชวนกันศึกษาพระธรรมวินัย
ธรรมะที่ถูกพิพากษา (๐๐๙)
——————-
ธรรมะในพระพุทธศาสนาที่ถูกเข้าใจผิดชนิดฝังหัว ไม่ยอมรับรู้ ไม่ยอมปรับความคิดอะไรทั้งสิ้น มีอยู่ ๓ ข้อ
๑ สันโดษ:
ถูกเข้าใจว่าคือความเกียจคร้าน ไม่อยากได้ใคร่ดี ไม่อยากทำอะไร อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ไปวันๆ
สมัยหนึ่ง ผู้บริหารประเทศถึงกับขอร้องคณะสงฆ์ว่า อย่าให้พระเทศน์เรื่องสันโดษ เพราะเป็นการส่งเสริมให้คนขี้เกียจ บ้านเมืองของเรากำลังพัฒนา ต้องการคนขยัน
ข้อเท็จจริง:
สันโดษหมายถึงความภูมิใจ ความอิ่มใจในผลงานอันถูกต้องถูกต้องธรรมที่ตนได้ทำลงไปอย่างเต็มกำลังความสามารถ (contentment; satisfaction with whatever is one’s own) พร้อมกันนั้นก็มีฉันทะมีอุตสาหะที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเพื่อให้สามารถทำกิจนั้นๆ ให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้น
สันโดษเป็นธรรมะที่ปฏิบัติทางใจ สำหรับแก้ปัญหาคนที่ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตนมีตนได้ แต่ไปคร่ำครวญโหยหาถึงสิ่งที่ยังไม่มียังไม่ได้
๒ อุเบกขา:
ถูกเข้าใจว่าคือความไม่รับผิดถูกต้อง ไม่ดูดำดูดี ไม่รับรู้ ไม่เอาธุระอะไรด้วย อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ใครอย่ามายุ่งกับกู
ข้อเท็จจริง:
อุเบกขา (equanimity; neutrality; poise) คือความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชู ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน (คำอธิบายจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [161] พรหมวิหาร ๔)
๓ มัชฌิมาปฏิปทา:
ถูกเข้าใจว่า คือการทำอะไรแต่พอดีๆ
ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป
ไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป
ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป-ทำนองนี้
ข้อเท็จจริง:
หลักธรรมที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” นั้น มีพระพุทธพจน์ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตรัสไว้ชัดเจน ขออัญเชิญมาเพื่อปรับความเข้าใจให้ถูกต้องดังนี้
……………..
กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค เสยฺยถีทํ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ ฯ อยํ โข สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ ฯ
ที่มา: มหาขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑
พระไตรปิฎกเล่ม ๔ ข้อ ๑๓
คำแปล:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มัชฌิมาปฏิปทา (ปฏิปทาสายกลาง) ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้นเป็นไฉน?
มัชฌิมาปฏิปทานั้นได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ-
สมฺมาทิฏฺฐิ > ปัญญาอันเห็นถูกต้อง ๑
สมฺมาสงฺกปฺโป > ความดำริถูกต้อง ๑
สมฺมาวาจา > เจรจาถูกต้อง ๑
สมฺมากมฺมนฺโต > การงานถูกต้อง ๑
สมฺมาอาชีโว > เลี้ยงชีวิตถูกต้อง ๑
สมฺมาวายาโม > พยายามถูกต้อง ๑
สมฺมาสติ > ระลึกถูกต้อง ๑
สมฺมาสมาธิ > ตั้งจิตมั่นถูกต้อง ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือมัชฌิมาปฏิปทา …
……………..
ส่วนการทำอะไรแต่พอดีๆ ไม่ง่ายไม่ยาก ไม่มากไม่น้อย ไม่บ่อยไม่ห่าง-ที่พูดกันนั่น ท่านเรียกว่า “มัตตัญญุตา” ความรู้จักพอดี
เป็นคนละคำคนละความหมายกับมัชฌิมาปฏิปทา
ทำอะไรแต่พอดีๆ ต้องพูดว่า “มัตตัญญุตา”
ไม่ใช่ “มัชฌิมาปฏิปทา”
……………..
สรุปว่า:
สันโดษ ไม่ใช่ขี้เกียจ
อุเบกขา ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ
มัชฌิมาปฏิปทา ไม่ใช่ทำอะไรแต่พอดีๆ
เห็นโทษของการไม่ศึกษาพระธรรมวินัยกันบ้างหรือยังเจ้าข้า
ขอแรงช่วยกันทำสังคมไทยให้เข้าใจธรรมะถูกต้องกันบ้างเถิดเจ้าข้า
มีงานอื่นจะทำก็ทำไป
แต่การศึกษาและเผยแผ่พระธรรมวินัย ต้องทำด้วยเจ้าข้า
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๗ ตุลาคม ๒๕๖๒
๑๗:๔๖
…………………………….