บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

นมของหนู

———–

เหตุดังนั้น หลวงพ่อจึงได้แต่จับดู แต่-ดูดไม่ได้

โยมผู้หญิงไฮโซคนหนึ่ง บุคลิกนักบริหาร วัยไม่สาว แต่ก็ไม่สูง ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “หนู” กับหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้โดยไม่เคอะเขินแต่ประการใด

เจ้าอาวาสวัดไหน ไม่สำคัญ

ระยะต่อความสัมพันธ์กับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ไม่ห่างจนจำชื่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ชิดถึงระดับที่จะโอภาปราศรัยทักทายคนละฟากถนนกันได้-แบบนั้น

…………..

อยู่มาคราวหนึ่ง โยมผู้หญิงท่านนี้มีศรัทธาใคร่จะสร้างบุญกุศลฝากไว้ในพระศาสนา จึงส่งรถไปรับหลวงพ่อเจ้าอาวาสมาสนทนาธรรมที่บ้านในตอนสายของวันหนึ่ง

เมื่อทราบความประสงค์ หลวงพ่อก็แนะนำช่องทางที่จะบำเพ็ญบุญสนองศรัทธาเป็นอันดี-อุปมาเหมือนภมรเคล้าคลึงเอาเฉพาะเกสรเสาวคนธ์ จะได้ทำให้กลีบดอกไม้ชอกช้ำก็หามิได้-ฉะนั้น

ก็พอดีได้เวลาเพล โยมผู้หญิงก็ให้แม่บ้านจัดภัตตาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ

นอกจากอาหารหวานคาวแล้วก็มีนมถุงชนิดที่เรียกเป็นคำฝรั่งว่า นม pasteurized ยี่ห้อที่เรารู้จักกันดี แต่เวลานั้นเพิ่งจะเปิดตัวสู่ตลาดได้ไม่นานนัก และค่อนข้างไฮโซในความรู้สึกของผู้คน โยมผู้หญิงท่านนี้จัดแจงหยิบยกมาประเคนหลวงพ่อด้วยมือตัวเอง ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะให้หลวงพ่อฉันเพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ระหว่างหลวงพ่อฉัน โยมผู้หญิงก็นั่งดูอยู่ห่างๆ ชวนสนทนาไปพลาง หลวงพ่อก็มีถ้อยทีตอบสนองพอไม่ให้เสียกิริยาและผิดหลักเสขิยวัตรอันว่าด้วยโภชนปฏิสังยุต

“หลวงพ่ออย่าลืมฉันนมด้วยนะเจ้าคะ” 

เธอบอกหลวงพ่อ และบอกเช่นนี้หลายครั้งเพราะกลัวหลวงพ่อลืม

หลวงพ่อฉันของคาวเสร็จ 

ต่อด้วยของหวาน 

เธอก็มองหลวงพ่อเป็นการเตือนว่า “หลวงพ่ออย่าลืมฉันนมด้วยนะเจ้าคะ” 

หลวงพ่อฉันของหวานเสร็จก็หยิบถุงนมมาถือไว้ ปากก็คุยเรื่องนั้นเรื่องโน้นกับโยมผู้หญิง มือก็ถือถุงนมไว้อย่างนั้น

โยมผู้หญิงก็เฝ้าแต่มอง รอว่าเมื่อไรหลวงพ่อจะฉันนมเสียที

นานจนอดรนทนไม่ได้ เธอจึงเปรยขึ้นเหมือนน้อยใจ

“หลวงพ่อไม่ชอบนมหนูเหรอเจ้าคะ วันนั้นเห็นคนโน้นเขาเอามาถวาย หลวงพ่อรีบฉันของเขาเชียว ทีของหนูนี่ แหม ทำเป็น…” 

หลวงพ่อยังคงถือถุงนม นั่งนิ่ง สีหน้าเรียบสงบ และถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่าท่านมีอาการอมยิ้มเล็กน้อยอยู่ในที

ยากที่จะรู้ว่าหลวงพ่อคิดอะไรอยู่ …

————–

สมัยผมเป็นวัยรุ่น ทำนาอยู่ที่หนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ หน้านา พี่ๆ ที่เป็นญาติจากบ้านอื่นจะมา “แขก” ทำนา เสร็จงานประจำวัน ตกค่ำกินข้าวกินปลาแล้วเราก็จะนั่งคุยกัน โดยมากพวกพี่ๆ จะเป็นฝ่ายคุย ส่วนผม-เด็กกว่าเขา-ก็นั่งฟังเขาคุยกัน

ค่ำหนึ่ง พี่คนนั้นเล่าเรื่องโน้น คนโน้นเล่าเรื่องนั้น ครั้นแล้วพี่คนหนึ่งก็เล่าขึ้นมาว่า คราวหนึ่งเขากับเพื่อนๆ ๒-๓ คนไปเที่ยวบ้านญาติห่างๆ ประจวบเป็นเวลาเที่ยง ญาติผู้หญิงเจ้าของบ้านหุงข้าวทำกับข้าว ยกสำรับออกมาตั้งวง แล้วเชิญแขกกินข้าว

อันนี้เป็นวัฒนธรรมไทยแท้ ใครที่เคยอ่านบทกลอนนี้จะต้องรู้ —

……………….

……………….

เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ

ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ

อย่างเลิศดีตามมีและตามเกิด 

ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ

……………….

……………….

(ผมเข้าใจว่าเป็นพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๖ จากบทละครเรื่องพระร่วง ขอแรงญาติมิตรที่แม่นๆ ช่วยยืนยันที่มาให้ทีนะครับ แต่ที่แน่ๆ กลอนนี้ไม่ใช่บทเดียวกัน แต่เป็น ๒ วรรคท้ายของบทแรก และ ๒ วรรคแรกของบทหลัง ถ้าเอามาเขียนไว้ด้วยกัน ใครไม่สังเกตจะเข้าใจผิดว่าเป็นกลอนบทเดียวกัน)

ผมโชคดีที่ไม่ใช่เพียงแค่รู้จากบทกลอน หากแต่ได้เคยมีชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมเช่นนี้จริงๆ 

เคยไปเที่ยวบ้านคนอื่น-บางทีแทบจะไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ-แล้วเขาชวนกินข้าว นี่เป็นชีวิตปกติจริงๆ ของชาวบ้านไทยสมัยโน้น 

ทั้งการเชิญและการกินตามคำเชิญ ถือกันว่าเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่งด้วย

………….

พี่เขาเล่าต่อไปว่า พอเจ้าของบ้านยกสำรับออกมาตั้งเสร็จ และเอ่ยปากเชิญ เขากับเพื่อนๆ ก็ขยับจะลุกไปเข้าวง แต่สังเกตเห็นว่า วงสำรับกับข้าวที่ยกมาตั้งนั้น ทั้งน้ำ ทั้งข้าว ทั้งกับข้าวมีพร้อม 

ขาดอย่างเดียวคือ ชามข้าว! 

เจ้าของบ้านลืมเสียสนิท!!

มีพร้อมทุกอย่าง แต่ขาดชามข้าว 

…. แล้วนี่จะกินอย่างไรได้

จะบอกเจ้าของบ้านไปตรงๆ ก็กลัวเขาจะอาย ตรงนี้แหละสำคัญที่สุด

๓-๔ หนุ่มก็ได้แต่นั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่ไปมา

แขกหนุ่มหนึ่งกระซิบบอกกันเองว่า ใช้ฝาหม้อแทนก็น่าจะได้ว่ะ

…………..

ฝ่ายสาวเจ้าของบ้านเห็นแขกอิดเอื้อนไม่ยอมเข้าวงสักที ก็เรียกซ้ำ 

“เชิญกินข้าวสิจ๊ะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นเสียหมด …”

แล้วก็เลยเอ่ยต่อไปด้วยสำนวนตัดพ้อ

“แหม ทีไปบ้านโน้นละก็ ชวนปุ๊บ กินปั๊บ มาบ้านนี้เป็นยังไงไป บ้านโน้นเขามีอะไรดีงั้นรึ” 

“คือว่า …” ในที่สุดพี่คนที่เล่าก็กลั้นใจตอบ 

“บ้านโน้นเขามีชามข้าวให้ด้วยจ้ะ” 

…………..

พี่เขาเล่าว่า สาวเจ้าของบ้านแทบจะกรี๊ดออกมา อายไปหลายต่อหลายม้วน 

พอเรียกสติคืนได้ก็วิ่งเข้าครัว คว้าชามข้าวที่เตรียมไว้แล้วแท้ๆ ออกมาวาง-หน้าแดงยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก!

เป็นเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายที่เล่าขานด้วยความครึกครื้นกันมานานวัน

————–

ผมว่าถ้าหลวงพ่อท่านเคยได้ฟังเรื่องที่ผมเอามาเล่าไว้นี้ ท่านก็คงจะตอบโยมผู้หญิงท่านนั้นไปว่า 

“คือว่า … นมถุงของคนโน้นเขามีกรรไกรตัดถุงแล้วก็มีหลอดให้ด้วยนี่จ๊ะโยม” 

…………….

บางที คนบางคนก็ทำเข็มขัดสั้นโดยไม่ได้ตั้งใจนิ

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐

๑๑:๒๑

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *