บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ประตูวิเศษ

ประตูวิเศษ

———–

ญาติมิตรสังเกตไหมครับว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา-ตั้งแต่มีคณะ คสช.- บรรดาคนที่เราเรียกว่า “นักการเมือง” หายเงียบไปหมด

ประเทศชาติและประชาชนเผชิญปัญหาสารพัด แต่ไม่มีนักการเมืองออกมาช่วยแก้ไข ชั้นที่สุดแม้แต่ออกมาบอกวิธีแก้ไขก็ไม่มี-ราวกับเขาไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศไทยและไม่ได้มีตัวตนอยู่ในประเทศไทย

เหตุผลสำคัญมีข้อเดียว คือ ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า 

และเหตุผลสำคัญที่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า ก็คือ-เขามีคนทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย

นักการเมืองเป็นบุคคลที่แสดงตัวต่อสาธารณชนว่าต้องการเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน

เพียงแต่มีเงื่อนไขที่ยอมรับกันทั่วโลกอยู่ในเวลานี้ว่า คนที่จะได้สิทธิ์ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนจะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง”

การเลือกตั้งจึงนับได้ว่าเป็นประตูวิเศษ

ความวิเศษของประตูเลือกตั้งนี้มิใช่มีเพียงแค่ทำให้ผู้ผ่านประตูกลายเป็นผู้วิเศษเท่านั้น แต่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ผู้ผ่านประตูเข้าไปได้แล้วสามารถเข้าไปทำอะไรก็ได้ตามสบาย เพราะผู้คนจะถูกสะกดจิตให้สนใจเฉพาะตรงประตูเท่านั้น 

มีน้อยที่สุดที่จะสนใจเลยประตูเข้าไปว่า-คนที่เข้าประตูไปนั้นไปทำอะไรบ้าง

ความศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของประตูวิเศษนี้ก็คือ สามารถทำให้คนทั้งโลกปักใจเชื่อว่า การที่ใครจะได้สิทธิ์เข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนมีวิธีเดียวที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือวิธีที่จะต้องผ่านเข้าไปทางประตู “เลือกตั้ง” นี้เท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นที่จะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว

ใครเข้าไปทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยไม่ผ่านประตูนี้จะถูกประณามว่าเลวทรามต่ำช้าหาที่เปรียบมิได้

ตามความเป็นจริงนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีคัดกรองคนที่จะเข้าไปทำงานเท่านั้น ไม่ใช่วิธีควบคุมการทำงานของเขา

สิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนต้องการที่สุดคือวิธีทำงานของใครคนนั้นที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน

แต่เราถูกประตูวิเศษสาปให้สนใจเฉพาะวิธีที่จะผ่านเข้าประตู โดยไม่ต้องสนใจวิธีทำงานของคนที่ผ่านประตูเข้าไปได้

อันที่จริงทฤษฎีการเลือกตั้งนั้นต้องนับว่าดี เช่น –

ประชาชนมีอำนาจในการปกครองโดยการเลือกตัวแทน คนที่ได้รับเลือกคือคนที่มาจากประชาชน คือคนที่ประชาชนยินดีพอใจให้เป็นตัวแทนเข้าไปบริหารบ้านเมือง

แต่ข้อเท็จจริงที่ทฤษฎีเลือกตั้งไม่สามารถควบคุมได้ก็คือ กลวิธีโกงเลือกตั้ง แม้จะมีกลไกควบคุมกำกับดูแลขนาดไหน การโกงเลือกตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายก็มีมาตลอด จนเป็นที่ยอมรับกันไปแล้ว

นี่เป็นโจทย์ข้อแรกที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้

ทฤษฎีเลือกตั้งบอกว่า คนที่เราเลือกเข้าไปถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล เขาก็จะไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน คือเป็นหูเป็นตาให้ประชาชน เป็นฝ่ายควบคุมรัฐบาล ไม่ให้โกงกิน

แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสมคบกันโกงกินบ้านเมือง อย่างที่เรียกว่า “ฮั้ว” กัน หรือแบ่งเค้กกัน อันเป็นที่มาของคำพูดว่า-แบ่งเค้กกันลงตัวหรือไม่ลงตัว

นี่เป็นโจทย์ข้อที่สองที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้

ทฤษฎีเลือกตั้งบอกต่อไปว่า คนที่เราเลือกเข้าไป ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี คราวต่อไปเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เลือก – แล้วก็เปรียบเทียบกับผู้ที่เข้ามากุมอำนาจด้วยวิธีเผด็จการที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนตัวได้ 

แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวกันกี่รอบ คนที่ประชาชนเลือกเข้าไปก็เข้าไปโกงกินกันทุกรอบไป จนเป็นที่รู้กันแล้วว่านักการเมืองก็คือคนที่จ้องจะเข้ากอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง 

ไม่พอใจก็เปลี่ยนตัวได้ ก็จริง

แต่ตัวที่มีให้เปลี่ยนเข้ามา ก็โกงทุกตัว

คนดีก็พอมี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่มีพลังที่จะต้านพวกโกงกินได้

นี่เป็นโจทย์ข้อที่สามที่ผู้บูชาการเลือกตั้งต้องตอบให้ได้

คำถามที่เคยได้ยินผู้บูชาการเลือกตั้งถามย้อนกลับมาก็คือ ก็เมื่อคุณเชื่อว่าคุณไม่โกง คุณก็มีสิทธิ์โดดเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อที่คุณจะได้บริหารบ้านเมืองแบบไม่ต้องโกง 

คุณรวมพวกคนไม่โกงไม่ได้เอง 

แล้วคุณจะมาบ่นคนโกงทำไม 

ระบบเขาให้สิทธิ์คุณแล้ว คุณไม่มีความสามารถจะใช้สิทธิ์เอง 

แล้วคุณจะไปโทษใคร

ผมก็คงไม่กล้าจะตอบว่ากระไร นอกจากยอมรับว่า เป็นความผิดของคนไม่โกงที่ยอมยกบ้านเมืองให้คนโกง

—————–

ถ้าจะเปรียบเทียบพอขำๆ การเลือกตั้งก็เหมือนชามใส่อาหาร 

วิธีทำงานเหมือนอาหารที่อยู่ในชาม

เราตั้งกติกากันไว้ว่า ใครสามารถหยิบชามใบนั้นไปได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด คนนั้นได้สิทธิ์ที่จะไปทำอาหารใส่ชามมาให้เรากิน

ใครที่ได้ชามใบนั้นไปโดยไม่ถูกต้องตามกติกา แม้จะทำอาหารดี อร่อยขนาดไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ทำอาหารให้เรากิน

นั่นคือ เราสนใจแต่เรื่องชาม แต่เราไม่ได้สนใจอาหารที่อยู่ในชาม

นักการเมืองเขารู้ธรรมชาติเรื่องนี้ดี เขาจึงสนใจแต่วิธีที่จะได้ชามไป และวิธีที่จะกอบโกยผลประโยชน์ใส่ชามเพื่อตัวเองเท่านั้น 

นักการเมืองสนใจอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น คือ –

๑ ทำอย่างไรจึงผ่านประตูวิเศษไปได้ เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะชนะการเลือกตั้ง ผิดถูกชั่วดีไม่ต้องพูดถึง 

นี่ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีก

๒ ทำอย่างไรจึงจะกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องให้ได้มากที่สุด

นี่ก็ไม่ใช่แกล้งพูด แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยและจะเกิดต่อไปอีกเช่นกัน

ช่วงที่ชิงกันเข้าประตูวิเศษ เขาจะเอาอาหารส่วนตัวใส่ชามส่วนตัวมาวางให้ประชาชนกิน

แต่พอเข้าประตูวิเศษไปได้แล้ว เขาจะเอาชามที่เขาได้สิทธิ์ถือครองนั้นใส่อาหารของประชาชนเอาไปกินกันในหมู่ญาติพี่น้องพวกพ้องของเขาอย่างเอร็ดอร่อยและอิ่มหมีพีมัน 

แต่เอาเศษๆ ใส่ชามมาวางให้ประชาชนกิน

………………

โปรดจำไว้ว่า บ้านเมืองเรา-หรือจะว่าไปแล้วก็คือโลกของเรา-สั่งสอน อบรม และเชื่อกันเสียแล้วว่า ใครจะทำประโยชน์อะไรให้แก่เพื่อนมนุษย์และแก่สังคม เขาจะต้องมีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีผลประโยชน์ตอบแทน และที่สำคัญ-จะต้องผ่านประตูวิเศษเข้าไปเสียก่อน 

ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่านี้ละก็ ต่อให้สิ่งที่ควรทำหล่นตุ้บลงมากองอยู่ตรงหน้า ก็จงอย่าได้ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าคุณทำ คุณจะกลายเป็นไอ้งั่งอะไรตัวหนึ่งไปทันที

เราสอนกันไว้อย่างนี้

ฟังเหมือนผมกำลังแอนตี้นักการเมืองและการเลือกตั้ง

ขอเรียนให้ทราบว่าผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

ตั้งแต่มีสิทธิ์เลือกตั้งมา ผมไปเลือกตั้งทุกครั้ง 

มีอยู่ครั้งเดียวที่ผมไม่ได้ไปเลือกตั้ง คือครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่มีการขอร้องว่าอย่าไปเลือกตั้งเนื่องจากมีอะไรหลายอย่างไม่ชอบมาพากล

ผมศรัทธาระบอบประชาธิปไตย

แต่ผมไม่ศรัทธานักการเมือง-ซึ่งแทบทั้งหมดไร้คุณธรรม

นักการเมืองที่ดีต้องมีจิตใจแบบพระโพธิสัตว์

คือมุ่งบำเพ็ญประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกหน้า

และไม่หวังประโยชน์ส่วนตัวด้วยประการทั้งปวง

พระโพธิสัตว์ บริหารตนเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง

แต่นักการเมือง บริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของตน

พูดอย่างนี้จะมีคนบอกว่า ลุงหลงยุคแล้ว มนุษย์แบบที่ลุงว่าน่ะไม่มีหรอก

ก็คงเหมือนกับที่ไอสไตน์เคยพูดถึงมหาตมะคานธีว่า ในอนาคตจะไม่มีใครเชื่อว่าเคยมีคนอย่างคานธีเดินอยู่บนโลกใบนี้

………………..

เราเคยแต่ได้ยินนักการเมืองปราศรัยต่อหน้าฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน

แต่มีใครสักกี่คนที่เคยได้ยินนักการเมืองพูดคุยกันในหมู่พรรคพวกของเขา-พูดคุยกันลับหลังฝูงชน-ว่าเขาจะทำนั่นทำโน่นเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ในวงข้าววงเหล้า ในหมู่พรรคพวกของเขา ในที่ลับหลังฝูงชน เขาพูดกันแต่เรื่องที่-จะทำอะไรและทำอย่างไรเขาและพวกพ้องของเขาจึงจะได้ประโยชน์อะไร 

ประเทศชาติและประชาชนจะได้อะไร-เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น

ใครจะว่า-ผลพลอยได้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย-ก็เชิญว่ากันไป

เพาะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ อย่าเชื่อผม และอย่าเชื่อใคร แต่จงศึกษาอดีต เทียบเคียงปัจจุบัน และเตรียมตัวเผชิญอนาคต-ด้วยตัวของแต่ละคนเอาเอง 

ถ้ายังงงอยู่ก็จงย้อนกลับไปอ่านมาจากข้างต้นอีกเที่ยวหนึ่ง แล้วตั้งสติ

เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชิงกันเข้าประตูวิเศษอีกแล้ว

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๗ มีนาคม ๒๕๖๒

๑๐:๓๐

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *