ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๖]
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๖]
—————————–
ตอนที่ ๙ – ท่าทีของผู้แก้ปัญหา: ส่วนที่เป็น “พระเดช”
———
หลักที่ว่ามาในตอนก่อนนั้นย่อมใช้ได้ดีในกรณีปกติ
แต่คนที่เข้ามาอยู่ในพระศาสนาแล้วก่อเรื่องใช่ว่าจะปกติไปหมดทุกคน
ถ้าไปเจอคนที่ไม่ปกติ พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง หรือคนชนิดที่คำพระท่านเรียกว่า “ทุมมังกุ” คือคนหน้าด้านหน้าทน ซึ่งบางทีก็มีอิทธิพลลึกลับหนุนหลัง จะทำอย่างไร?
ตรงนี้แหละที่จะเห็นเหตุผลของการมีเจ้าคณะพระสังฆาธิการตั้งแต่ระดับต่ำสุดขึ้นไปจนถึงระดับกรรมการมหาเถรสมาคม-ว่ามีไว้ทำไม
นั่นก็คือ ถ้าระดับตัวบุคคลจัดการไม่ได้ ก็ให้ระดับองค์กรจัดการ
ถ้าพระภิกษุสามเณรประพฤติผิด ชาวบ้านทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสจัดการ
ถ้าทุมมังกุบุคคลไม่กลัวเจ้าอาวาส ก็ต้องให้เจ้าคณะตำบลจัดการ
ไม่กลัวเจ้าคณะตำบลก็ให้เจ้าคณะอำเภอ …… เจ้าคณะจังหวัด ……
เรื่อยไปจนถึงมหาเถรสมาคม
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าเจ้าคณะพระสังฆาธิการระดับต่างๆ ท่านไม่จัดการ เราจะทำอย่างไรกัน?
เรื่อยไปจนถึง-ถ้ามหาเถรสมาคมท่านไม่จัดการ เราจะทำอย่างไรกัน?
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว คือมีกรณีเป็นอันมากที่เจ้าคณะพระสังฆาธิการท่านนิ่งเฉย ไม่จัดการ ไม่เอาเป็นธุระ
ระดับมหาเถรสมาคมด้วยแล้ว ยิ่งชัดเจน ใครเสนอแนะอะไร สังคมมีปัญหาคาใจอะไรเกี่ยวกับสงฆ์ มหาเถรสมาคมท่านไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
มีพระยืนบิณฑบาตที่ตลาดหน้าวัดใกล้บ้านผม ผมไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสว่าไฉนพระคุณท่านไม่จัดการ
ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า ในกุฏิมันมีมีดดาบเล่มยาว ถ้ามันเสียบพุงอาตมา ใครจะรับผิดชอบ โยมรับผิดชอบได้ไหม
ดูไปก็คล้ายๆ กับ-ตำรวจไม่กล้าจับผู้ร้าย บอกว่า-เดี๋ยวถูกผู้ร้ายยิงตายใครจะรับผิดชอบ
คล้ายๆ กับ-ทหารไม่กล้าออกรบ ได้แต่ร้องถามว่าถ้าผมถูกข้าศึกยิงตายใครจะรับผิดชอบ
เดี๋ยวนี้วิปริตไปอย่างนั้นแล้วหรือ?
บางทีก็ได้ยินคำพูดเป็นทำนองว่า-เจ้าคณะพระสังฆาธิการท่านไม่อยากทำอะไรให้มันเกิดเรื่อง กลัวจะอื้อฉาว จะยิ่งทำให้พระศาสนาเสื่อมเสีย สู้อยู่กันแบบเงียบๆ สงบๆ ไว้ปลอดภัยดีกว่า
กลายเป็นว่าท่านกลัวความอื้อฉาวที่เกิดจากการแก้ปัญหา
แต่ท่านไม่กลัวความอื้อฉาวที่เกิดจากคนก่อปัญหา
แล้วก็ไม่กลัวผลร้ายอันเกิดจากการหมกปกปิดปัญหาไว้
ผมกำลังจะขอหารือเรื่องเก่าเรื่องเดิมที่เคยพูดเคยบ่นมาตลอด นั่นคือ ถ้าผู้บริหารการพระศาสนาท่านไม่ขยับตัวทำงานจัดการแก้ปัญหาอะไร ท่านเฉยหมดทุกเรื่อง เราจะทำอย่างไรกันดี
ผมประเมินประมวลธรรมชาติของคณะสงฆ์ไทยดูแล้ว ได้ข้อยุติว่า ถ้าจะให้ท่านทำงานไม่ว่าจะงานแก้ปัญหาหรืองานพัฒนาองค์กร ณ เวลานี้น่าจะต้องใช้ ๓ วิธี คือ –
๑ ในฐานะที่เราเป็นคนธรรมดา จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนใส่พานคลานเข้าไปกราบเท้าท่านถึงวัดหรือถึงในกุฏิ ขออาราธนาให้ท่านลุกขึ้นมาทำงาน-ทั้งๆ ที่งานนั้นเป็นหน้าที่ของท่านแท้ๆ
ต้องทำแบบนี้ท่านจึงจะยอม
หรือไม่ก็ –
๒ หาตัวคนมีอำนาจเหนือคณะสงฆ์-คล้ายๆ หรือน้องๆ พระเจ้าอโศกมหาราชในสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ นั่นเลย หาตัวให้พบ แล้วขอให้ท่านผู้นั้นสั่งคณะสงฆ์ให้ทำงาน
คนที่ว่านี้ไม่ได้หมายเจาะจงไปที่ใครโดยเฉพาะ-ดังที่บางท่านเข้าใจไปว่าคงหมายถึงในหลวง แต่หมายถึงใครก็ได้ที่คณะสงฆ์กลัวหรืออย่างน้อยก็เกรงใจมากๆ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นในหลวง ให้ท่านผู้นั้นเป็นคนบอก-หรือขอร้อง หรือหากจะถึงกับ “สั่ง” ก็สุดแต่ท่าน-ให้คณะสงฆ์ทำงาน
วิธีนี้โอกาสสำเร็จมีเต็มร้อย เพราะธรรมชาติของคณะสงฆ์ไทยยุคนี้คือ ต้องมีคนสั่งหรือใบสั่งท่านจึงจะยอมทำงาน ยิ่งถ้าผู้สั่งมีอำนาจเหนือท่านด้วยแล้ว ท่านจะทำอย่างกุลีกุจอและฉับไวอย่างยิ่ง แบบว่า-สั่งเช้า เย็นก็ทำเสร็จ สั่งเย็น เช้าวันรุ่งขึ้นก็เสร็จ-นั่นเทียว
แต่ปัญหาสำคัญก็คือ โอกาสที่จะพบตัวคนมีอำนาจมีน้อยอย่างยิ่ง
๓ วิธีที่ ๓ นี่เป็นวิธีพิเศษซึ่งผมเพิ่งจะสังเกตเห็น นั่นก็คือช่วงเวลานี้ (กันยายน-ตุลาคม ๒๕๖๓) มีนักเรียนนักศึกษาหรือเยาวชนออกมาชู ๓ นิ้วเรียกร้องทางการเมือง ผมจึงเกิดความหวังว่า เราน่าจะมีอีกวิธีหนึ่ง คือให้เด็กไปชู ๓ นิ้วตามอารามที่พระเถระมหาเถระ-โดยเฉพาะอารามที่กรรมการมหาเถรสมาคม-ท่านสถิตอยู่ และที่พุทธมณฑลอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยราชการที่มีหน้าที่ทำงานเพื่ออุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
แต่เนื่องจากมีการยืนยันหนักแน่นมั่นคงยิ่งนักอยู่ตลอดเวลาว่า นักเรียนนักศึกษาหรือเยาวชนเหล่านั้นออกมากระทำการครั้งนี้โดยไม่มีใครเขียนบทหรือกำกับการแสดง คือไม่มีใครชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการกระทำด้วยสติปัญญาความคิดความอ่านโดยลำพังตัวเองล้วนๆ อย่างบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้น ใครจะไปเสนอแนะอะไรก็คงจะไม่ได้ นอกจากต้องรอให้นักเรียนนักศึกษาหรือเยาวชนเหล่านั้นคิดได้ด้วยสติปัญญาของเขาเอง
ก็คงได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งอาจจะมีเด็กสักคนหนึ่งในหมู่เด็กเหล่านั้นที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา และมีใจเป็นห่วงพระศาสนา-ทำนองเดียวกับที่ห่วงชาติบ้านเมือง-เกิดกุศลจิตคิดขึ้นได้เอง แล้วไปชู ๓ นิ้วตามอารามต่างๆ กระตุ้นเตือนหรือเรียกร้องให้คณะสงฆ์ลุกขึ้นมาทำงานตามหน้าที่ของท่าน
อีกนิดหนึ่งที่อาจจะเป็นความหวังเล็กๆ นั่นก็คือ ในระหว่างการชุมนุมดังกล่าวมีผู้เผยแพร่ภาพพระภิกษุ (หรือสามเณร) ไปร่วมชุมนุมและไปยืนชู ๓ นิ้วชูป้ายร่วมกับชาวบ้านด้วย รวมทั้งแม่ชีก็มีภาพปรากฏว่าไปชู ๓ นิ้วกับเขาด้วย
ผมก็เลยเกิดความหวังขึ้นมาว่า ถ้าเราขอแรงพระภิกษุสามเณรและแม่ชีเหล่านี้ให้ไปชู ๓ นิ้วที่สำนักงานมหาเถรสมาคม ที่อารามที่กรรมการมหาเถรสมาคมท่านสถิตอยู่ และที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็น่าจะเป็นแรงผลักดันอีกทางหนึ่งให้ผู้บริหารการพระศาสนาลุกขึ้นมาคิดอ่านทำงานแก้ปัญหาและพัฒนาองค์กร
ไปไล่รัฐบาลท่านยังอธิบายเหตุผลได้ชัดแจ๋วว่าเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ นี่ไปกระตุ้นเตือนผู้บริหารการพระศาสนาซึ่งเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรและแม่ชีโดยตรงแท้ๆ ท่านย่อมจะทำได้อย่างถูกที่ถูกทางถูกกับสถานภาพของท่านด้วยความเต็มใจและกล้าหาญโดยแท้
แต่ก็เช่นกัน คงจะต้องรอให้พระภิกษุสามเณรและแม่ชีเหล่านั้นคิดขึ้นได้เองเสียก่อน คือต้องให้ท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครไปชี้นำ
……………
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
๑๕:๒๓
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๕]
………………………………..
ถ้าไม่ตื่น ก็จงหลับไปชั่วนิรันดร [๑๗]