บาลีวันละคำ

ฉันทวาสินี-ภรรยาประเภทที่ 2 (บาลีวันละคำ 3,588)

ฉันทวาสินี-ภรรยาประเภทที่ 2

ภรรยาที่อยู่ด้วยความเต็มใจ

…………..

ควรทราบก่อน :

ในจำนวนศีล 227 สิกขาบทของภิกษุ ในหมวดอาบัติสังฆาทิเสสมี 13 สิกขาบท สิกขาบทที่ 5 บัญญัติว่า “ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส” (นวโกวาท หน้า 3)

เมื่อกล่าวถึง “ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน” ตามสิกขาบทนี้ พระวินัยปิฎกจำแนกหญิงที่ชายได้มาเป็นภรรยาไว้ 10 ประเภท คือ –

(1) ธนกีตา = ภรรยาสินไถ่ 

(2) ฉันทวาสินี = ภรรยาที่อยู่ด้วยความเต็มใจ 

(3) โภควาสินี = ภรรยาที่อยู่เพราะสมบัติ

(4) ปฏวาสินี = ภรรยาที่อยู่เพราะผ้า 

(5) โอทปัตตกินี = ภรรยาที่สมรส 

(6) โอภตจุมพฏา = ภรรยาที่ถูกปลงเทริด 

(7) ทาสี ภริยา = ภรรยาที่เป็นทั้งคนใช้เป็นทั้งภรรยา 

(8 ) กัมมการี ภริยา = ภรรยาที่เป็นทั้งลูกจ้างทั้งเป็นภรรยา 

(9) ธชาหฏา = ภรรยาเชลย

(10) มุหุตติกา = ภรรยาชั่วคราว 

ชื่อภรรยาทั้ง 10 ประเภทนี้ ไม่ใช่คำแสดงลักษณะนิสัยของภรรยาเหมือนภรรยา 7 ประเภท เช่น “โจรีภริยาภรรยาเยี่ยงโจรมาตาภริยาภรรยาเยี่ยงมารดา เป็นต้น หากแต่เป็นคำแสดงที่มาหรือลักษณะที่ได้หญิงนั้นมาเป็นภรรยาว่าได้มาด้วยวิธีใด

ชื่อภรรยาทั้ง 10 ประเภทนี้บ่งบอกถึงสภาพสังคมหรือค่านิยมในการหาคู่ครองของชายชาวชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล เป็นเรื่องน่ารู้ จึงนำแต่ละชื่อมาแสดงความหมายตามกรอบขอบเขตของ “บาลีวันละคำ” พอเป็นอลังการของนักเรียนบาลี

…………..

ฉันทวาสินี” อ่านว่า ฉัน-ทะ-วา-สิ-นี ประกอบด้วยคำว่า ฉันท + วาสินี

(๑) “ฉันท” 

เขียนแบบบาลีเป็น “ฉนฺท” อ่านว่า ฉัน-ทะ รากศัพท์มาจาก – 

(1) ฉนฺทฺ (ธาตุ = ปรารถนา) + (อะ) ปัจจัย 

: ฉนฺทฺ + = ฉนฺท (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความปรารถนา” 

(2) ฉทฺ (ธาตุ = ปิด, บัง, ระวัง) + (อะ) ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ต้นธาตุแล้วแปลงเป็น นฺ (ฉท > ฉํท > ฉนฺท)

: ฉทฺ + = ฉท > ฉํท > ฉนฺท (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “บทประพันธ์ที่ปกปิดโทษคือความไม่ไพเราะ” 

ฉนฺท” ในบาลีใช้ในความหมาย 3 อย่าง คือ –

(1) สิ่งกระตุ้นใจ, แรงดลใจ, ความตื่นเต้น; ความตั้งใจ, การตกลงใจ, ความปรารถนา; ความอยาก, ความประสงค์, ความพอใจ (impulse, excitement; intention, resolution, will; desire for, wish for, delight in)

(2) ความยินยอม, ความยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้นๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย (consent, declaration of consent to an official act by an absentee) ความหมายนี้คือที่เราพูดว่า “มอบฉันทะ

(3) ฉันทลักษณ์, กฎเกณฑ์ว่าด้วยการแต่งฉันท์, ตำราฉันท์; บทร้อยกรอง (metre, metrics, prosody; poetry) ความหมายนี้คือที่ภาษาไทยพูดว่า “กาพย์กลอนโคลงฉันท์” บาลีไม่ได้เรียกแยกชนิดเหมือนไทย คงเรียกรวมทุกอย่างว่า “ฉนฺทฉันท์” แต่มีชื่อเฉพาะสำหรับฉันท์แต่ละชนิด เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คาถา” 

ในที่นี้ “ฉนฺท” ใช้ในความหมายตามข้อ (1)

(๒) “วาสินี” 

รูปคำเดิมเป็น “วาสี” อ่านว่า วา-สี รากศัพท์มาจาก วสฺ (ธาตุ = อยู่, พำนัก; ชอบใจ) + ณี ปัจจัย, ลบ (ณี > อี), “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ -(สฺ) เป็น อา (วสฺ > วาส

: วสฺ + ณี = วสณี > วสี > วาสี (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีปรกติอยู่-(ในที่ใดที่หนึ่ง)” หมายถึง ชอบ, อาศัยอยู่ [ใน] (liking, dwelling [in])

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – 

วาสิน, วาสี ๑ : (คำนาม) ผู้อยู่, ผู้ครอง, มักใช้เป็นส่วนท้ายสมาส เช่น คามวาสี = ผู้อยู่บ้าน อรัญวาสี = ผู้อยู่ป่า. (ป., ส.).”

หมายเหตุ : ที่พจนานุกรมฯ สะกดเป็น “วาสิน” นั้น เป็นการถอดรูปมาจากวิธีสะกดคำบาลีด้วยอักษรโรมันแบบหนึ่ง คือคำว่า “วาสี” อาจสะกดเป็นอักษรโรมันได้ 2 แบบ คือ vāsī = วาสี ก็ได้ vāsin = วาสินฺ ก็ได้ แต่เมื่อถอดเป็นบาลีอักษรไทย เรานิยมสะกดเป็น “วาสี

วาสี” เป็นรูปคำปุงลิงค์ เมื่อใช้เป็นคุณศัพท์ขยายคำนามที่เป็นอิตถีลิงค์ ลง “อินี” ปัจจัย เปลี่ยนรูปเป็น “วาสินี

แถม :

อินี” ปัจจัยนี้ใช้ลงหลังคำนามที่เป็นปุงลิงค์เพื่อทำให้นามคำนั้นเป็นอิตถีลิงค์

คำประเภทนี้ที่เราคุ้นกันในภาษาไทย เช่น –

: เศรษฐี = ชายผู้มั่งมี

: เศรษฐินี = หญิงผู้มั่งมี

: ภิกษุ (บาลี: ภิกฺขุ) = ชายที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา

: ภิกษุณี (บาลี: ภิกฺขุนี, ภิกฺขุ + อินี ลบ อิ) = หญิงที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา

: คหบดี (บาลี: คหปติ) = ชายที่เป็นเจ้าบ้าน

: คหปตานี (บาลี: คหปติ + อินี แปลง อิ ที่ ติ และ อิ ที่ อินี เป็น อา) = หญิงที่เป็นเจ้าบ้าน

: จักรพรรดิ = ชายผู้เป็นประมุขของจักรวรรดิ (พระเจ้าจักรพรรดิผู้ชาย)

: จักรพรรดินี = หญิงผู้เป็นประมุขของจักรวรรดิ (พระเจ้าจักรพรรดิผู้หญิง)

: ราชา = ชายผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

: ราชินี = หญิงผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน (แต่ในภาษาไทยใช้ในความหมายว่า หญิงผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน)

ฉนฺท + วาสินี = ฉนฺทวาสินี เขียนแบบไทยเป็น “ฉันทวาสินี” (ฉัน-ทะ-วา-สิ-นี) แปลว่า “ภรรยาที่อยู่ด้วยความเต็มใจ” 

ขยายความ :

ในพระไตรปิฎก สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 5 ให้คำจำกัดความ “ฉันทวาสินี” ไว้ดังนี้ –

…………..

ฉนฺทวาสินี  นาม  ปิโย  ปิยํ  วาเสติ  ฯ

ภรรยาที่ชื่อว่า “ฉันทวาสินี” (อยู่ด้วยความเต็มใจ) หมายถึง สตรีที่ชายผู้เป็นคู่รักยอมรับว่าเป็นคู่รักให้อยู่ร่วมกัน

ที่มา: วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 1 พระไตรปิฎกเล่ม 1 ข้อ 433

…………..

คัมภีรอรรถกถาพระวินัยปิฎกขยายความ “ฉันทวาสินี” ไว้ดังนี้ –

…………..

ฉนฺเทน  อตฺตโน  รุจิยา  วสตีติ  ฉนฺทวาสินี ฯ

หญิงใดย่อมอยู่ด้วยความพอใจ คือด้วยความยินดีของตน หญิงนั้นชื่อว่า ฉันทวาสินี

ยสฺมา  ปน  สา  น  อตฺตโน  ฉนฺทมตฺเตเนว  ภริยา  โหติ  ปุริเสน  ปน  สมฺปฏิจฺฉิตตฺตา  

แต่เพียงแค่ความความพอใจของตนฝ่ายเดียว หญิงนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นภรรยาก็หามิได้ ฝ่ายชายจะต้องยอมรับด้วย (จึงจะได้ชื่อว่าเป็นภรรยา)

ตสฺมาสฺส  นิทฺเทเส  ปิโย  ปิยํ  วาเสตีติ  วุตฺตํ  ฯ

เพราะฉะนั้น ในคำจำกัดความคำว่า “ฉันทวาสินี” ท่านจึงระบุลงไปว่า “ปิโย  ปิยํ  วาเสติ” แปลว่า “สตรีที่ชายผู้เป็นคู่รักยอมรับว่าเป็นคู่รักให้อยู่ร่วมกัน”

ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค 2 หน้า 57 (อธิบายสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 5)

…………..

ดูก่อนภราดา!

: พอใจ

: คือใจรู้จักพอ

#บาลีวันละคำ (3,588)

9-4-65 

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *