ยังมีไก่มีลิงหลงเหลืออีกหลายตัว
ยังมีไก่มีลิงหลงเหลืออีกหลายตัว
——————————–
ที่วัดมหาธาตุ ราชบุรี สำนักของผม มีพระพุทธรูปสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ องค์หนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อพ้นปี” ชื่อเป็นทางการคือ “พระชัยพุทธมหานาค”
“ชัยพุทธ” (ไช-ยะ-พุด) แปลว่า พระพุทธปฏิมาของพระเจ้าชัยวรมัน
“มหานาค” แปลว่า นาคใหญ่หรือนาคสำคัญที่แผ่พังพานปกเหนือพระเศียรพระพุทธองค์ตามเรื่องในพุทธประวัติ เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งหลังจากตรัสรู้แล้วที่เรียกว่าเป็นช่วงเวลาเสวยวิมุตติสุข ๔๙ วัน
๔๙ วันคือ ๗ สัปดาห์ สัปดาห์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ … มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้ปรารถนาจะเจริญพุทธานุสติพึงหาทางศึกษาเอาเถิด
พระพุทธรูปองค์นี้เป็นปางนาคปรก เพราะฉะนั้น จึงชื่อ “พระชัยพุทธมหานาค”
“มหานาค” ไม่ใช่ “มหานาถ”
มีหลายคนพูดเพี้ยนเขียนผิดเป็น “พระชัยพุทธมหานาถ” -นาถ ที่แปลว่า “ที่พึ่ง” โปรดทราบว่าผิดนะครับ
“นาค” ที่หมายถึงพญานาค
ไม่ใช่ “นาถ” ที่แปลว่าที่พึ่ง
พระชัยพุทธมหานาคเป็นพระปางนาคปรก แต่เป็นนาคปรกที่พิเศษกว่านาคปรกทั่วไป
นาคปรกทั่วไปเป็นปางสมาธิ
แต่พระชัยพุทธมหานาคเป็นนาคปรกมารวิชัย
ตามที่บอกเล่ากันมา บอกว่าราชวงศ์ชัยวรมันนับถือเทพมาแต่เดิม เมื่อแผ่อิทธิพลไปถึงไหนก็จะสร้างเทวสถานเป็นศูนย์กลางเมืองนั้นๆ ที่เมืองราชบุรีก็สร้างไว้ตรงที่เป็นที่ตั้งวัดมหาธาตุทุกวันนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองเก่า มีผู้สันนิษฐานว่า เมืองราชุบุรีนี้ชื่อเดิมคือ “ชยราชปุระ” แปลว่าเมืองของพระเจ้าชัยวรมัน แต่เรียกกันไปเรียกกันมา “ชย” กร่อนไปหายไป เหลือแต่ “ราชปุระ” แล้วก็มาเป็น “ราชบุรี” อยู่ทุกวันนี้
ครั้นมาถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงเปลี่ยนมานับถือพุทธ แปลงเทวสถานเดิมเป็นพุทธสถาน ทรงสร้างพระพุทธปฏิมานาคปรกไปประดิษฐานไว้ตามเมืองต่างที่อยู่ในปกครอง เคยมีผู้ให้ตัวเลขไว้ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น ๒๓ องค์ตามจำนวนหัวเมือง แต่ตัวเลขนี้ไม่แน่นอน ไม่ยืนยัน ยืนยันได้แต่ตัวเลขกลมๆ ว่ามีประมาณ ๒๐ องค์ +
ตกมาถึงปัจจุบันวันนี้ มีผู้ให้ข้อมูลว่า พระชัยพุทธมหานาคที่ประดิษฐานอยู่ตามเมืองต่างๆ ๒๐ องค์ + นั้น เหลืออยู่เพียง ๒ องค์ คือที่วัดมหาธาตุ ราชบุรีองค์หนึ่ง ส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นจำไม่ได้หรือไม่อาจทราบได้ว่าอยู่ที่ไหน
พระธรรมปัญญาภรณ์ (ไพบูลย์ ชินวํโส ป.ธ.๗) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ราชบุรี ซึ่งสนใจทางโบราณคดีและมีความรู้พอสมควรยืนยันว่า พระชัยพุทธมหานาคที่ประดิษฐานอยู่ตามเมืองต่างๆ นั้นมีอยู่แน่นอน ประจักษ์พยานแห่งหนึ่งก็คือที่ปราสาทเมืองสิงห์ กาญจนบุรี ยังมีหลักฐานเป็นที่ประดิษฐานชัดเจน แต่ทุกวันนี้เหลือแต่แท่นฐาน ส่วนองค์พระนั้นไม่เหลือแล้ว (ไม่เหลือมานานแล้ว)
……………….
ที่เขียนเรื่องนี้ จุดสำคัญก็อยู่ตรงนี้ คือตรงที่ว่า พระชัยพุทธมหานาค ๒๐ องค์ + ไปอยู่ที่ไหนหมด?
แน่นอน ไม่ได้กลายเป็นอากาศธาตุ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ คำถามคือเปลี่ยนสถานที่ไปอยู่ที่ไหน และตามข้อเท็จจริง ก้อนหินเคลื่อนที่เองหรือลอยไปเองไม่ได้ ต้องมีคนเอาไป คำถามคือใครเอาไป และเอาไปทำไม
พระชัยพุทธมหานาคองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ ราชบุรี เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้วเคยถูกโจรกรรมครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากน้ำหนักขององค์พระทำให้สัตว์นรกเคลื่อนย้ายไม่สะดวก และเดชะบุญที่พระที่เฝ้าอยู่ได้ยินเสียงผิดปกติจึงเอะอะขึ้นมาเสียก่อน
ปัจจุบันพระชัยพุทธมหานาคหรือหลวงพ่อพันปีของชาวราชบุรีประดิษฐานอยู่ในที่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีสัตว์นรกกลับมาเกิดอีก-โดยเฉพาะสัตว์นรกในคราบอริยะที่เป็นผู้ออกใบสั่ง
……………….
ที่แน่นอนอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ได้พระชัยพุทธมหานาคไปครอบครองนั้นไม่ได้เอาไปครอบครองอย่างเปิดเผย หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้เปิดเผยให้รู้กันเป็นสาธารณะว่ารับซื้อไปจากหัวขโมยเมืองไทยเมื่อคราวนั้นคราวโน้น ด้วยราคาเท่านั้นเท่านี้ เวลานี้ประดิษฐานอยู่ที่นั่นที่นี่ ขอเชิญชาวโลกมาเที่ยวดูเที่ยวชมกันได้ โดยเฉพาะคนไทยที่ไปดูไปชมจะได้ลดค่าเข้าชมเป็นพิเศษ ฯลฯ
แต่เอาไปครอบครองอย่างเป็นสมบัติส่วนตัว
……………….
มีอะไรน่าคิดบ้าง?
ถ้าใครยังคิดไม่เห็น ผมจะขออนุญาตชี้ชวนให้ดู ให้คิด
ผู้สร้างพระชัยพุทธมหานาค-และในวงกว้างรวมไปถึงผู้สร้างพระพุทธปฏิมาทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้-สร้างขึ้นมาทำไม?
คำตอบ ถ้าพูดให้คนทั่วไปเข้าใจก็ว่า-สร้างขึ้นมาเพื่อเคารพกราบไหว้บูชา แต่มองลึกลงไปถึงเจตนาก็คือ-สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการเจริญพุทธานุสติสำหรับผู้ที่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ เมื่อพิจารณาพระพุทธปฏิมา จิตใจจะได้น้อมไปถึงพระพุทธคุณได้ง่ายขึ้น แล้วอาศัยพระพุทธคุณประคองสติให้เจริญไปในพระกรรมฐานเพื่อให้บรรลุมรรคผลต่อไป – นี่คือเจตนาของการสร้างพระพุทธปฏิมา
อุปมาเหมือนห่วงยางหรืออุปกรณ์เครื่องช่วยว่ายน้ำสำหรับคนที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไม่มีแชมป์ว่ายน้ำคนไหนต้องสวมห่วงยางลงว่ายน้ำ
ตกมาถึงทุกวันนี้ ความคิดของคนถูกเคลือบคลุมด้วยโมหะมากขึ้น มองไม่เห็นเจตนานี้
คนที่มีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว แต่ขาดเมตตาธรรม มองคนที่กราบไหว้พระพุทธรูปก็ดูถูกดูหมิ่นว่าโง่งมงาย มัวแต่กราบไหว้อิฐหินปูนทองเหลือง ลืมนึกไปว่าคนที่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ก็ยังมี
ความคิดว่ากราบไหว้พระพุทธรูปเป็นความโง่งมงาย ก็ไปสอดรับพอดีกับศาสนาที่รังเกียจรูปเคารพเพราะไม่เปิดใจศึกษาให้เห็นเจตนา เห็น “รูปเคารพ” ที่ไหนที่อยู่ในเขตอิทธิพลของตนเป็นต้องทำลายให้พินาศย่อยยับ ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วโลก คนที่คิดว่ากราบไหว้พระพุทธรูปเป็นความโง่งมงายจึงเท่ากับเป็นแนวร่วมให้เป็นอย่างดี
เคยได้ยินคนออกมาบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้สร้างพระพุทธรูป ถ้าเราไม่สร้างพระพุทธรูปเสียอย่าง จะมีใครเอาอะไรไปทำลายได้ เป็นความผิดของเราเองที่ไปสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา
เป็นแนวคิดที่ฉลาดเป็นบ้า ฟังแล้วเจริญเลย น่าจะไปเกิดในยุคพุทธศักราช ๕๐๐ อันเป็นยุคสมัยที่ผู้รู้ท่านว่าเริ่มมีการสร้างพระพุทธปฏิมา จะได้ไปทักท้วงขัดคอไม่ให้มีใครสร้าง
……………….
กลับไปที่ผู้ครอบครองพระชัยพุทธมหานาคอยู่ในเวลานี้
ถามว่า พระพุทธปฏิมานี้เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เคารพกราบไหว้ เป็นปูชนียวัตถุอยู่ในประเทศถิ่นหนึ่ง เป็นสมบัติส่วนรวมของประชาชนในประเทศถิ่นนั้น ท่านเอาไปครองครองเป็นสมบัติส่วนตัวด้วยเหตุผลอะไร เพียงเพราะท่านมีเงินซื้อได้เท่านั้นหรือ เอาไปครอบครองแล้วท่านเคารพบูชากราบไหว้หรือเปล่า แม้ท่านจะเอาไปเคารพบูชากราบไหว้ ก็แล้วคนที่เขาเคารพบูชากราบไหว้อยู่แต่เดิมท่านมองไม่เห็นดอกหรือ ท่านมองหัวใจของเพื่อนมนุษย์ว่าเป็นอะไร ท่านเอาสิทธิ์อะไรมาทำเช่นนี้ ท่านทำอย่างนี้ทำไม
ผมอยากจะให้ใครที่มีความสามารถ ช่วยสื่อสารคำถามเหล่านี้ไปยังบรรดาเศรษฐีมหาเศรษฐีที่รับซื้อพระชัยพุทธมหานาคไว้ แล้วบอกเขาเหล่านั้นว่า สิ่งที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้นคือรัตนะอันประเสริฐ ไม่ใช่ข้าวเปลือกหรือลูกไม้อย่างที่พวกเขากำลังมองเห็น
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
๑๔:๐๙
………………………………….
ยังมีไก่มีลิงหลงเหลืออีกหลายตัว
………………………………….