อัพภาน (บาลีวันละคำ 4,793)

อัพภาน
กระบวนการรับรองว่าบริสุทธิ์
อ่านว่า อับ-พาน
“อัพภาน” เขียนแบบบาลีเป็น “อพฺภาน” อ่านว่า อับ-พา-นะ รากศัพท์มาจาก อภิ (คำอุปสรรค = ยิ่ง, ใหญ่, จำเพาะ, ข้างหน้า) + อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ) + อิ (ธาตุ = สาธยาย, ท่อง), แปลง อภิ เป็น อพฺภ, แปลง อิ เป็น เอ แล้วแปลง เอ เป็น อย (อิ > เอ > อย) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), ลบ ย
: อภิ > อพฺภ + อา = อพฺภา + อิ > เอ > อย = อพฺภาย + ยุ > อน = อพฺภายน > อพฺภาน แปลตามศัพท์ว่า “การเรียกกลับมา”
…………..
หมายเหตุ: รากศัพท์ดังที่แสดงมานี้ หากท่านผู้ใดเห็นว่าคลาดเคลื่อน กรุณาบอกแก้ไขให้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
…………..
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกความหมายของ “อพฺภาน” ว่า coming back, rehabilitation of a bhikkhu who has undergone a penance for an expiable offence (การกลับมาหรือการเรียกกลับ, การรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งอยู่ปริวาสมานัตแล้วให้กลับคืนเป็นผู้บริสุทธิ์)
“อพฺภาน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อัพภาน” (อับ-พาน) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อัพภาน : (คำนาม) การชักกลับมา, ในวินัยหมายถึง การรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส และได้ถูกทำโทษคือ *อยู่ปริวาสแล้วให้กลับคืนเป็นผู้บริสุทธิ์, การสวดประกาศเรื่องนี้ เรียกว่า สวดอัพภาน. (ป.).”
ขยายความ :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายคำว่า “อัพภาน” ไว้ดังนี้ –
…………..
อัพภาน : “การเรียกเข้า” การรับกลับเข้าหมู่, เป็นขั้นตอนสุดท้ายแห่งวุฏฐานวิธี คือระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติขั้นสังฆาทิเสส ได้แก่การที่สงฆ์สวดระงับอาบัติ รับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส และได้ทำโทษตนเองตามวิธีที่กำหนดเสร็จแล้ว ให้กลับคืนเป็นผู้บริสุทธิ์ วิธีปฏิบัติ คือ ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้ปิดไว้ พึงประพฤติมานัตสิ้น ๖ ราตรีแล้วขออัพภานกะสงฆ์วีสติวรรค* สงฆ์สวดอัพภานแล้วชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จากอาบัติ, แต่ถ้าภิกษุปกปิดอาบัติไว้ล่วงวันเท่าใด ต้องประพฤติวัตรเรียกว่า อยู่ปริวาส ชดใช้ครบจำนวนวันเท่านั้นก่อน จึงประพฤติมานัตเพิ่มอีก ๖ ราตรี แล้วจึงขออัพภานกะสงฆ์วีสติวรรค* เมื่อสงฆ์อัพภานแล้ว อาบัติสังฆาทิเสสที่ต้องชื่อว่าเป็นอันระงับ
…………..
หมายเหตุ:
๑ ที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ บอกไว้ว่า “ในวินัยหมายถึง การรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส และได้ถูกทำโทษคือ อยู่ปริวาสแล้ว” นั้น พึงทำความเข้าใจใหม่ กล่าวคือ ขั้นตอนการออกจากอาบัติสังฆาทิเสสที่พจนานุกรมฯ ใช้คำว่า “ถูกทำโทษ” นั้น ที่เป็นขั้นตอนหลัก คือ “มานัต” เรียกว่า “ประพฤติมานัต” และ “อัพภาน” เรียกว่า “ขออัพภาน”
ส่วน “ปริวาส” ที่เรียกว่า “อยู่ปริวาส” เป็นขั้นที่แทรกเสริมเข้ามาในกรณีที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ กรณีเช่นนี้ต้องอยู่ปริวาสเท่าจำนวนวันที่ปกปิดไว้นั้นก่อนจึงจะประพฤติมานัตตามขั้นตอนปกติได้ แต่ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้ปกปิดก็ไม่ต้องอยู่ปริวาส เริ่มต้นด้วยประพฤติมานัตได้ทันที
การที่พจนานุกรมฯ บอกว่า “… และได้ถูกทำโทษคือ อยู่ปริวาสแล้ว” ชวนให้เข้าใจไปว่า ขั้นตอนการออกจากอาบัติสังฆาทิเสสมีอย่างเดียวคือ “อยู่ปริวาส” เพราะไม่ได้เอ่ยถึง “ประพฤติมานัต” เลยทั้ง ๆ ที่ “มานัต” หรือ “ประพฤติมานัต” นั่นแหละเป็นขั้นตอนหลักแท้ ๆ ส่วน “ปริวาส” จะอยู่หรือไม่อยู่แล้วแต่กรณี
๒ คำว่า “สงฆ์วีสติวรรค” ตามที่พจนานุกรมพุทธศาสน์ฯ บอกไว้ แปลว่า “สงฆ์พวกยี่สิบ” หมายถึง สงฆ์ที่กำหนดจำนวนภิกษุอย่างต่ำ 20 รูป กล่าวคือ ในการทำสังฆกรรมตามพระวินัย มีกำหนดจำนวนภิกษุอย่างต่ำที่จะต้องเข้าร่วมประชุมในสังฆกรรมแต่ละประเภทไว้ เช่น ประชุมฟังพระปาติโมกข์ต้องมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างต่ำ 4 รูป กรานกฐินต้องมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างต่ำ 5 รูป อุปสมบท (บวชพระ) ต้องมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างต่ำ 5 รูป หรือ 10 รูปแล้วแต่กรณี (ในถิ่นที่หาภิกษุยาก อย่างต่ำ 5 รูป ในถิ่นที่หาภิกษุง่าย อย่างต่ำ 10 รูป) อย่างนี้เป็นต้น
สังฆกรรมคือ “อัพภาน” หรือสวดอัพภาน กำหนดว่าต้องมีภิกษุเข้าร่วมประชุมอย่างต่ำ 20 รูป ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “สงฆ์วีสติวรรค”
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ทำผิดแล้วยอมถูกลงโทษ
สงฆ์ยังพอโปรดรับรองว่าบริสุทธิ์ได้
: แต่จะทำผิดอีกหรือไม่
ต้องรับรองกับใจตัวเอง
#บาลีวันละคำ (4,793)
27-7-68
…………………………….
…………………………….
