ภาษาเป็นเรื่องสมมุติ
ภาษาเป็นเรื่องสมมุติ
ภาษาเป็นเรื่องสมมุติ
———————-
เขา ๔ (คำสรรพนาม):
คำใช้แทนผู้ที่เราพูดถึง, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓.
เค้า ๑ (คำนาม):
(๑) สิ่งที่เป็นเครื่องกำหนดหมายบอกให้รู้ เช่น ฝนตั้งเค้า
(๒) สิ่งที่ส่อแสดงให้รู้ได้ว่ามีลักษณะเหมือนสิ่งอื่น เช่น นาย ก มีเค้าหน้าเหมือนนาย ข
(๓) ต้นเงื่อน เช่น ต้นเค้า
(๔) รูปหรือรูปความโดยย่อ เช่น เขียนพอให้เห็นเป็นเค้า
(๕) ร่องรอย เช่น พอได้เค้า
(๖) เหง้า เช่น โคตรเค้าเหล่ากอ
(๗) ข้า. (อนันตวิภาค)
(๘) ตัวเงินหรือวัตถุที่ใช้แทนตัวเงิน เช่นเมล็ดมะขามเป็นต้นที่เป็นทุนซึ่งตั้งไว้สำหรับเล่นในบ่อนการพนันบางชนิด, เรียกผู้ถือต้นทุนในการพนัน ว่า ถุงเค้า.
ที่มา: พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
…………….
นักแปลที่รู้ภาษาอังกฤษดีมากคนหนึ่งแปล he ว่า “เค้า” ตลอดทั้งเรื่อง
ภาษาไทยจงเจริญตลอดกาลนานเถิด
มีใครอยากจะแก้ตัวแก้ต่างบ้างไหมว่า ภาษาเป็นเรื่องสมมุติ?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓
๑๑:๑๙
ความคิดเห็นหลังโพสต์
Porrarit Mahakkapong
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๓
ก็ สมมุติ แปลว่ารับรู้ร่วมกัน
ต่อให้ในดิกไม่ให้ความหมายคำว่า”เค้า” ว่า สรรพนามบุรุษที่สาม
มันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่า คนทั่วไปรับรู้และเข้าใจว่า “เค้า” ใช้ในความหมายของสรรพนามบุรุษที่สามได้หรือไม่
ถ้าคนทั่วไปรับรู้ตามนั้น คำว่า”เค้า”ก็อยู่ในข่าย สมมุติ
ส่วนจริงๆแล้วภาษาควรจะเป็นเรื่องสมมุติหรือไม่นั้น การที่อาจารย์เอาดิกมาให้ดูก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร
เช่น การที่ในดิกไม่ให้ความหมายไว้ แปลว่าภาษาไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่เป็นเรื่องการใช้คำตามความหมายในดิกอย่างเข้มงวดอย่างนั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นก็ค่อนข้างจะรวบรัดตัดจบเอาฝ่ายเดียวนะครับ
มันอาจจะแปลว่าดิกไม่ทันสมัยก็ได้
“ภาษาควรอนุรักษ์ไว้” กับ “ภาษาคือการอนุรักษ์” เป็นของคนละอย่าง
—-
ขอบคุณมากครับ อ่านความคิดเห็นนี้แล้วดี ได้ความคิดบางอย่าง
.
ความคิดบางอย่างของผมก็คือ ที่เรา “รับรู้ร่วมกัน” ตอนนี้ก็คือ “สิ่งนี้หมายถึงสิ่งนั้น” เราควรจะต้อง “รับรู้ร่วมกัน” ต่อไปอีกสักหน่อยดีไหม คือรับรู้ร่วมกันต่อไปอีกด้วยว่า “สิ่งนี้ที่หมายถึงสิ่งนั้นหรือสิ่งนั้นที่หมายถึงสิ่งนี้ที่เรารับรู้ร่วมกันอยู่นี้ มันดีหรือไม่ดี งามหรือไม่งาม ควรหรือไม่ควร เหมาะหรือไม่เหมาะ”
.
หรือว่าไม่จำเป็น แค่รับรู้ร่วมกันว่า “สิ่งนี้หมายถึงสิ่งนั้น” เท่านี้พอ ส่วนสิ่งนั้นมันจะดีหรือไม่ดี งามหรือไม่งาม ควรหรือไม่ควร เหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่จำเป็นจะต้องไปรับรู้รับเห็นหรือไปสมมุติซ้อนขึ้นมาอีกให้ยุ่งยาก – อุปมาเหมือนอาหาร เอาแค่มันไม่มีพิษ กินแล้วมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ตาย เท่านั้นพอ จะเปรี้ยวหวานมันเค็ม อร่อยหรือไม่อร่อย ไม่ต้องไปคิดประดิดประดอยให้มันยุ่งยาก หรืออุปมาเหมือนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เอาแค่ปกปิดอวัยวะที่จะยังหิริให้กำเริบ ป้องกันหนาวร้อนเหลือบยุงได้สวมใส่แล้วสบายตัว เท่านั้นพอ ไม่ต้องไปกำหนดรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้ งานแบบนั้นต้องใส่ชุดแบบนี้ ไปงานนี้ต้องแต่งแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปกำหนดให้มันยุ่งยาก ใครอยากจะแต่งชุดอะไรไปในสถานที่ไหนงานไหน ก็เชิญตามสบาย
.
เป็นต้นว่า “ทรงตรัส” ถ้าสังคมเขารับรู้ร่วมกันว่าหมายถึง “ตรัส” คือเจ้านายพูด ก็จบแค่นั้น ไม่ต้องมาตั้งกฎว่าถ้า “ตรัส” แล้วไม่ต้องมี “ทรง” ไม่ต้องมาตัดสินว่าผิดถูกดีงามควรเหมาะ เอาแค่รับรู้ร่วมกันตรงกัน พอ – สรุปว่าเอากันประมาณนี้นะครับ
…………………………….
…………………………….