บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

อย่าเพียงแต่พูดอยู่บนเวที

อย่าเพียงแต่พูดอยู่บนเวที

—————————

แต่จงลงมือทำความดีเพื่อประชาชน

ตอนนี้แถวบ้านผมอึกทึกไปด้วยเสียงรถโฆษณาหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรียกเป็นคำย่อว่า ส.ส. อ่านว่า สอ-สอ 

เดี๋ยวนี้พูดเป็นคำย่อกันทั่วไปหมด อีกไม่นานคงไม่มีใครรู้ว่า ส.ส. ย่อมาจากคำเต็มว่ากระไร

นอกจากรถโฆษณาแล้ว ที่ทำกันจนเป็นมาตรฐานทั่วไปก็คือ ติดป้ายโฆษณาข้างทาง

สรุปว่า วิธีหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในบ้านเราที่ประพฤติกันอยู่ ณ เวลานี้ก็คือ 

๑ ติดป้ายโฆษณา 

๒ ใช้รถกระจายเสียงโฆษณา

๓ แสดงตัวทางช่องทางต่างๆ เช่นตั้งเวที เดินไปตามบ้านผู้คน และโฆษณาทางสื่อสมัยใหม่

เนื้อหาสาระที่แสดงออก สรุปให้สั้นที่สุดก็คือบอกว่าจะทำนั่นนี่โน่น 

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่นักเลือกตั้งประพฤติกันมาตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการเลือกตั้งในเมืองไทย และทุกวันนี้ก็ยังคงใช้วิธีเดิม-วิธีเดียว

คือพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าจะทำ 

แต่ไม่ทำ 

ผมขอเชิญชวนให้ตั้งวงพิจารณาวิธีหาเสียงกันให้ดีๆ 

นักเลือกตั้งบอกว่าจะทำนั่นนี่โน่น 

เช่นที่บ้านผม-เขาบอกว่าจะทำให้ข้าวเปลือกราคาเกวียนละหมื่นบาท-อย่างนี้เป็นต้น 

ที่ผมอยากให้ตั้งข้อสังเกตก็คือ เขาบอกว่าจะทำนั่นนี่โน่น 

แต่ไม่ได้บอกวิธีทำ 

วิธีทำเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

นั่นนี่โน่นที่บอกว่าจะทำนั้น จะพูดให้สวยหรูขนาดไหนก็ได้ แต่จะสำเร็จได้ตามที่พูดขึ้นอยู่กับวิธีทำ ประกอบด้วยรายละเอียดในการลงมือทำว่า ๑- ๒- ๓- ต้องทำอะไรและทำอย่างไร 

ซึ่งนักเลือกตั้งร้อยทั้งร้อยไม่ได้บอกประชาชน

แต่ที่สำคัญเหนือขึ้นไปอีกก็คือ ศักยภาพหรือความสามารถในการที่จะทำได้จริงตามวิธีทำนั้นๆ 

บอกวิธีทำด้วยก็จริง แต่พอลงมือทำเข้าจริง ทำไม่ได้ หรือบอกประชาชนว่าทำได้ แต่จริงๆ แล้วทำไม่ได้-นี่ก็ไม่ได้ยกขึ้นเอามาพูดเอามาบอกกัน 

และที่น่าคิดก็คือ คนทั่วไปก็มักจะไม่ได้สนใจที่จะตรึกตรองตามไปให้ตลอดสายว่า-ที่พูดนั่นสามารถลงมือทำได้จริงแค่ไหน 

ส่วนมากฟังเอา “มัน” หรือไม่ก็พลอยฝันเฟื่องไปกับเรื่องที่บอกว่าจะทำ แต่ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง 

—————–

อาจจะมีผู้ออกมาแก้แทนว่า ในขั้นตอนหาเสียง ไม่ใช่เวลาที่จะมาแจกแจงวิธีทำซึ่งมีรายละเอียดมาก นั่นต้องไปว่ากันอีกตอนหนึ่ง 

แล้วจะไปว่ากันตอนไหน?

อ้าว ก็ตอนที่ได้รับเลือกตั้งแล้ว และได้เป็นรัฐบาลโน่นสิ 

อ้าว (บ้าง) แล้วถ้าไม่ได้รับเลือกตั้งล่ะ 

ไม่ได้รับเลือกตั้งก็เลิกกัน จบแค่นั้น 

ไม่ใช่ความผิดของข้าพเจ้า อยากไม่เลือกข้าพเจ้าเองทำไมล่ะ 

นักเลือกตั้งบ้านเราร้อยทั้งร้อยเป็นแบบนี้ 

ระหว่างที่ไม่มีเลือกตั้ง ประเทศชาติและประชาชนมีปัญหามากมาย มนุษย์พวกนี้ไม่เคยออกมาช่วย-แม้เพียงออกความเห็น บอกวิธีแก้ปัญหา-ซึ่งไม่ต้องทำเองแท้ๆ ก็ไม่มี

แต่พอมีเลือกตั้ง ทีนี้เสนอหน้าออกมาอาสารับใช้ประชาชนรับใช้ประเทศชาติกันให้เกลื่อนไปหมด 

ถ้าไม่ได้รับเลือก ก็หายหน้าไป ลืมไปหมดสิ้นว่าได้เคยพูดว่าจะรับใช้ประชาชนรับใช้ประเทศชาติ

มนุษย์ที่มีนิสัยเช่นนี้แหละที่กำลังลงสนามเสนอตัวให้พวกเราเลือกอยู่ในเวลานี้

—————–

ถ้าตั้งจะรับใช้ประชาชนรับใช้ประเทศชาติจริงๆ ผมมีข้อเสนอ

ข้อเสนอของผมก็คือ 

๑ ประมวลปัญหาว่า ขณะนี้บ้านเมืองของเรามีปัญหาอะไรบ้าง ๑- ๒- ๓- เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ 

๒ ตั้งเป้าหมายว่าบ้านเมืองของเราควรจะเป็นเช่นไร ควรจะมีอะไรหรือควรจะทำอะไรบ้าง เช่นเด็กไทยควรจะมีลักษณะนิสัยอย่างไรที่พึงประสงค์-อย่างนี้เป็นต้น คิดไว้ฝันไว้ให้หมด

๓ ต่อไปก็คิดหาวิธีแก้ไข หรือที่เรียกว่า “วิธีทำ” ปัญหาโน้นทำอย่างนี้ ๑- ๒- ๓- จึงจะแก้ได้ เป้าหมายนั้นทำอย่างนี้ ๑- ๒- ๓- จึงจะบรรลุได้ 

๔ ลงมือทำ ไม่ต้องรอว่าต้องมีเลือกตั้งจึงจะทำได้ ไม่ต้องรอว่าฉันต้องมีตำแหน่งก่อนจึงจะทำได้ และไม่ต้องรอว่าฉันและพวกพ้องต้องได้รับค่าตอบแทนฉันจึงจะทำ 

๕ อะไรที่ทำด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เห็นว่าใครทำได้ หรือใครมีหน้าที่จะต้องทำ ก็เอาวิธีทำนั้นๆ ไปเสนอเขา ไปบอกเขาให้ทำอย่างนั้นๆ และไม่ใช่ว่าบอกเขาแล้ว ถ้าเขาไม่ทำ ก็เลิก แต่ต้องหาทางกระตุ้นเตือนให้เขาทำต่อไปอีก ไม่ปล่อยมือง่ายๆ 

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือสิ่งที่ควรทำ-ถ้าอ้างว่าต้องการจะรับใช้ประเทศชาติและประชาชน

ถ้าใครศึกษาพระพุทธศาสนามาบ้าง จะรู้ทันทีว่า-วิธีที่ว่ามานี้คือปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ 

พระโพธิสัตว์คือบุคคลที่ตั้งปณิธานทำงาน มิใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว 

เสนอแนะอย่างนี้ จะต้องมีคนออกมาแย้งว่า โอย ทำไม่ได้หรอก หาไม่ได้หรอกคนแบบนั้น ฝันไปเถอะ 

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถึงระดับเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ เอาแค่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทย-แค่นี้ก็พอ 

ทำได้หรือไม่ 

ชักลังเลแล้วสิ 

นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่า พวกเราส่วนมาก-โดยเฉพาะนักเลือกตั้งที่เสนอหน้าอยู่ในเวลานี้-ไม่ได้เคยคิดตั้งใจที่จะแบกรับภาระของชาติบ้านเมือง หากแต่คิดเพียงแค่จะหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น และเล็งเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นหนทางหนึ่งที่จะแสวงหาประโยชน์ได้เป็นอย่างดี 

—————–

ถ้ายังอยากจะพิสูจน์ตัวเองเพื่อลบล้างคำปรามาสของผม (ตามที่ว่ามา) ผมก็มีงานง่ายๆ ที่ขอเสนอ-เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้โดยตรงเลยทีเดียวแหละ

นั่นก็คือ ณ เวลานี้ประชาชนส่วนมากยังไม่ทราบว่าหน่วยเลือกตั้งที่เขาจะต้องไปลงคะแนนนั้นอยู่ที่ไหน 

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ วันเลือกตั้งจะมีคนไปลงคะแนนผิดที่เป็นจำนวนมาก 

ข้อเสนอของผมก็คือ-ขอแรงผู้สมัครทั้งหลายช่วยแจ้งให้ประชาชนแต่ละบ้านได้รับทราบหน่อย จะได้หรือไม่ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ รถโฆษณาที่ผ่านไปทางถนนซอยบ้านไหนก็ประกาศไปด้วยว่า ท่านที่มีบ้านอยู่ในซอยนี้ หมู่บ้านนี้ บ้านเลขที่นี้ถึงเลขที่นี้ หน่วยเลือกตั้งของท่านอยู่ที่โน่นๆ นะครับ

เรื่องนี้เรื่องเดียว ช่วยบอกกันชัดๆ แค่นี้ ทำได้หรือไม่ 

“วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มีนาคม แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นไปเลือกตั้ง” 

ประโยคนี้พูดกรอกหูเป็นพันๆ ครั้ง ทั้งๆ ที่คนทั้งประเทศเขารู้อยู่แล้ว 

แต่หน่วยเลือกตั้งของเขาอยู่ที่ไหน 

ยังไม่มีใครบอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

……………

คงจะมีคนออกมาออกรับแทนอีกกระมังว่า เรื่องนี้เขามีหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว เดี๋ยวหน่วยงานนั้นเขาจะมีหนังสือไปถึงทุกบ้านเอง ไม่ใช่หน้าที่ของผู้สมัครที่จะต้องบอก 

อ้าว!

ก็งานของบ้านเมืองที่เสนอหน้าสมัครเข้าไปทำกันอยู่นี้ก็มีคน มีหน่วยงานที่เขาทำอยู่แล้วทั้งนั้น 

แล้วสมัครเข้าไปทำอะไรกันอีก? 

แต่-ไม่ต้องเถียงกันหรอกครับ ผมเพียงแต่พยายามจะบอกว่า-นี่ไงคือประโยชน์ของประชาชนที่ควรช่วยกันทำ

พระโพธิสัตว์นั้นท่านมีแต่พยายามหาเหตุผลเพื่อจะได้ทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ 

ท่านไม่เคยเกี่ยงว่างานนี้ไม่ต้องทำเพราะมีคนอื่นทำอยู่แล้ว

………………

แถมให้อีกหน่อยก็ยังได้ว่า – กรุณาช่วยกันเสนอแนะให้ปรับปรุงวิธีลงคะแนนด้วยวิธีที่ง่ายและแน่นอนได้หรือไม่ 

เท่าที่ผ่านมาทุกครั้ง ไปถึงหน่วยเลือกตั้ง (นี่หมายถึงผ่านพ้นปัญหาไปผิดที่หรือไม่รู้ว่าหน่วยลงคะแนนของตัวอยู่ที่ไหนไปแล้ว) จะต้องไปพลิกดูบัญชีว่าชื่อของตัวอยู่หมายเลขลำดับที่เท่าไร แล้วจึงไปเข้าแถวยื่นบัตรให้เจ้าที่ตรวจ กว่าจะหาชื่อเจอ กว่าจะตรวจเสร็จ กว่าจะเซ็นชื่อเสร็จ กว่าจะได้ใบลงคะแนนถือไปเข้าคูหากาบัตร เสียเวลาและอารมณ์ไปเป็นอันมาก 

ช่วยหาวิธีทำให้ง่ายขึ้นได้หรือไม่ 

เช่น-เพียงแต่ถือบัตรประจำตัวประชาชนไปยื่น เจ้าหน้าที่รับไปแปะเข้ากับเครื่องอะไรสักอย่าง ก็ยืนยันได้ทันทีว่าคุณเป็นใคร เข้าคูหากาเบอร์ได้ทันที – ทำแบบนี้ได้หรือไม่

ยิ่งถ้าคิดหาวิธี-นั่งอยู่กับบ้านก็สามารถลงคะแนนได้ ยิ่งประเสริฐนัก

อย่าเพิ่งบอกว่าทำไม่ได้ 

แต่จงช่วยกันคิดหาวิธีที่จะทำให้ได้

นี่ไงคือ-งานเพื่อประชาชนตรงตัว 

ผู้เสนอตัวออกมาให้ประชาชนเลือกนั่นแหละที่ควรจะต้องเป็นหัวหอกในการลงไปทำงานแบบนี้ 

นี่แค่งานเฉพาะหน้าเท่านั้น 

งานระยะยาวยังมีอีกอเนกอนันตัง-ที่ยังไม่มีคนคิดทำ 

ไม่ใช่เอาแต่ยืนพูดอยู่บนเวที 

แต่ไม่เคยลงมือทำความดีเพื่อประชาชน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

๑๑:

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *