บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ปรัปวาท: ศึกซ้ำซาก (๑)

ปรัปวาท: ศึกซ้ำซาก (๒)

ปรัปวาท: ศึกซ้ำซาก (๒)

———————

มีคนบอกชาวโลกว่า พระพุทธศาสนานี่แหละคือตัวการสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ปกครองประเทศกดขี่ข่มเหงประชาราษฎร

จะเอาแต่นั่งท่องคาถา “ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวมันเหนื่อย มันก็เลิกว่าไปเอง” เท่านั้นเองหรือท่านผู้บริหารการพระศาสนา?

เขาพูดอย่างนี้ ยังไม่รู้สึกอีกหรือว่านี่คือ “ปรัปวาท”?

………………..

เนื่องจากประเด็นนี้เราไม่ได้พูดถึงปัญหาการเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย อยุธยา หรือสมัยราชาธิปไตย แต่พูดถึงความอยุติธรรมทางสังคมและการกดขี่ข่มเหงประชาราษฎรในสมัยประชาธิปไตย 

เพราะฉะนั้น ตีกรอบ-ขีดวงไว้เฉพาะตรงนี้

ถามว่า พระพุทธศาสนาไปส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปกครองบ้านเมืองกดขี่ข่มเหงประชาราษฎรตรงไหน ไปส่งเสริมให้เกิดความอยุติธรรมทางสังคมตรงไหน? 

เวลาเลือกผู้ปกครองบ้านเมือง เราเอาหลักการมาจากฝรั่ง พระพุทธศาสนาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย 

แต่เวลามีการกดขี่ข่มเหงประชาราษฎรและเกิดความอยุติธรรมทางสังคม คราวนี้มาโทษพระพุทธศาสนา 

ช่างสมเหตุสมผลดีแท้ๆ 

ไม่เคยปรากฏคำสอนส่วนไหนๆ ของพระพุทธศาสนาที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปกครองประเทศกดขี่ข่มเหงประชาราษฎร 

ใครเห็นว่าพระพุทธศาสนาสอนแบบนั้น โปรดชี้ชัดๆ อย่าพูดลอยๆ 

พระพุทธศาสนาสอนประชาราษฎรไว้ ๑ ข้อ คือให้เสียภาษีบำรุงบ้านเมือง (ราชพลี)

แต่พระพุทธศาสนาสอนผู้ปกครองประเทศไว้อย่างน้อยก็ ๒๒ ข้อ ให้ปกครองประเทศให้ดีๆ 

สงสัยละสิว่า ตัวเลข ๒๒ เอามาจากไหน 

ไม่ต้องลำบาก เดี๋ยวมหาย้อยตักใส่ปากให้เลย นั่งท่องคาถาเฉยๆ ให้สบายเถอะ 

ราชธรรม ๑๐ คือที่เรารู้จักกันว่า ทศพิธราชธรรม

จักรวรรดิวัตรอีก ๑๒ 

รวมเป็น ๒๒ ข้อ-ที่พระพุทธศาสนาสอนผู้ปกครองประเทศ

ถ้าผู้ปกครองประเทศปฏิบัติตามคำสอนเหล่านี้ ความอยุติธรรมทางสังคมจะไม่มีเลย ไม่ต้องพูดไปถึงการกดขี่ข่มเหงประชาราษฎรซึ่งจะมีไม่ได้อยู่แล้ว

เวลาเลือกผู้ปกครอง เอาอย่างฝรั่ง

เวลาเกิดปัญหาจากผู้ปกครอง ด่าพระพุทธศาสนา

นี่ต่างหากคือความอยุติธรรมทางสังคม 

………………..

พระพุทธศาสนาเกิดก่อนระบบการปกครองของไทยในประวัติศาสตร์ 

เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะตีรวนว่า-เขาหมายถึงความอยุติธรรมทางสังคมและการกดขี่ข่มเหงประชาราษฎรในประวัติศาสตร์ของไทย 

ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องเชิญไปทะเลาะหรือไปด่าผู้ปกครองในประวัติศาสตร์ของไทยเอาเองว่า-ทำไมไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนา 

แต่อย่ามากล่าวโทษกันส่งเดชว่า-พระพุทธศาสนาสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ปกครองประเทศกดขี่ข่มเหงประชาราษฎร 

และอย่ามากล่าวโทษแบบมั่วๆ ว่า พระพุทธศาสนาละเลยทุกข์จากความอยุติธรรมทางสังคม 

สังคมต่างหากที่ละเลยคำสอนของพระพุทธศาสนาจนเกิดความอยุติธรรม 

………………..

เวลานี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป นั่นก็คือ เอาพฤติกรรมพฤติการณ์ เอาการกระทำของบุคคลในพระพุทธศาสนาไปประกาศว่า นั่นคือพระพุทธศาสนา 

โปรดถอยมาตั้งหลักกันใหม่ให้ถูกต้อง

หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาก็ส่วนหนึ่ง

พฤติกรรมพฤติการณ์-การกระทำของบุคคลในพระพุทธศาสนาก็ส่วนหนึ่ง

กรุณาแยกให้ถูก 

แยกให้เป็น 

อย่าเอามาปนกัน 

อย่าเอามาบอกว่าเป็นอย่างเดียวกัน

ขี้ที่เปื้อนทอง ไม่ใช่ทอง

และทองก็ไม่ใช่ขี้

อย่าเห็นขี้เป็นทอง 

อย่าเห็นทองเป็นขี้

แต่จงลุกขึ้นมาช่วยกันชำระขี้ออกจากทอง 

พฤติกรรมพฤติการณ์-การกระทำที่เลอะเทอะของบุคคลในพระพุทธศาสนา เกิดจากความย่อหย่อนอ่อนแอของผู้บริหารการพระศาสนา

ไม่ใช่เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้ประพฤติเลอะเทอะ

ถ้ารักพระพุทธศาสนา หวังดีต่อพระพุทธศาสนา ควรช่วยกันกระตุ้นเตือนผู้บริหารการพระศาสนาให้เลิกย่อหย่อนอ่อนแอ เลิกนิ่งเฉย เลิกวิธีบริหารด้วยการไม่บริหารเสียทีเถิด 

การที่มีผู้กล่าวปรัปวาท แล้วผู้บริหารการพระศาสนานิ่งเฉย ไม่ทำอะไร ก็เป็นการฟ้องอยู่ในตัวแล้วว่า เวลานี้ผู้บริหารการพระศาสนาของเราย่อหย่อนอ่อนแออย่างที่สุด 

ขอพระศาสนาจงเจริญเถิด 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

๑๔:๒๖

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *