บทความเรื่อง ปรัปวาท: ศึกซ้ำซาก
ปรัปวาท: ศึกซ้ำซาก (๑)
———————
ญาติมิตรท่านหนึ่ง ขออนุญาตเอ่ยนาม-ท่านอาจารย์พงษ์ศักดิ์ เกษมพันธ์-ได้แชร์โพสต์ข้อความของท่านผู้หนึ่ง มีข้อความดังนี้ –
…………………….
พุทธศาสนาตอกย้ำเรื่องทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตายและกิเลสมากเสียจนละเลยทุกข์จากความอยุติธรรมทางสังคม แถมยังผสมโรงกับอำนาจกดขี่
…………………….
ท่านอาจารย์พงษ์ศักดิ์ เกษมพันธ์ ได้เขียนตอบไว้สั้นๆ ดังนี้ –
…………………….
คิดซิๆๆ มันใช่หรอ?
คนที่ตอกย้ำ..หลงเพ่-หลงพ่อ ตะหาก
ที่เฉยตุ่ยกับความอยุติธรรม..ก็มหาเถร..โน่น
พุทธศาสนาตอกย้ำอยู่อย่างเดียว..
ศีลทุกข้อ..ย้ำทุกครั้ง
“สิกขา ปทัง สมาทิยามิ”
คิดซิๆๆ มันใช่หรอ?
…………………….
ผมขอให้ช่วยกันพิจารณาข้อความของท่านผู้หนึ่งข้างต้นโน้น (มีในภาพประกอบด้วย) ด้วยสติและปัญญา
ผมมีความเห็นว่า นี่เป็น “ปรัปวาท” อย่างหนึ่ง
“ปรัปวาท” (ปะ-รับ-ปะ-วาด) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“คำกล่าวของคนพวกอื่นหรือลัทธิอื่น, คำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอื่น, หลักการของฝ่ายอื่น, ลัทธิภายนอก; คำสอนที่คลาดเคลื่อนหรือวิปริตผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น”
…………………….
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ทรงพิจารณาเห็นว่าบัดนี้พุทธบริษัทมีคุณสมบัติพร้อมที่จะรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาแล้ว สมควรแก่เวลาที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้แล้ว
คุณสมบัติข้อหนึ่งของพุทธบริษัทที่มีคุณภาพพร้อมที่จะรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาก็คือ –
…………………….
“อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติ.”
แปลว่า “แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม”
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๙๕
…………………….
หมายความว่า เมื่อมีใครพูดพาดพิงพระพุทธศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง จะเพราะเข้าใจผิด หรือไม่รู้ความเป็นจริง หรือมีเจตนาแฝงเร้นอย่างไรก็ตาม พุทธบริษัทต้องสามารถชี้แจงให้คนทั้งหลายเข้าใจถูกต้องได้อย่างเรียบร้อย อย่างมีไมตรีต่อกัน ไม่ใช่ทะเลาะกับเขา ด่าว่าหรือทำร้ายเขา
คุณสมบัติของพุทธบริษัทที่มีคุณภาพพร้อมที่จะรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนานั้น ผมเคยประมวลสรุปเป็นคำสั้นๆ ไว้ดังนี้
………
“ศึกษาเล่าเรียน
พากเพียรปฏิบัติ
เคร่งครัดบำรุง
มุ่งหน้าเผยแผ่
แก้ไขให้หมดจด”
………
“แก้ไขให้หมดจด” ถอดความออกมาจาก “แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม”
………………..
ขออนุญาต “บ่น” หน่อยครับ
งาน “แก้ไขให้หมดจด” นี้ควรเป็นงานระดับองค์กร ไม่ใช่งานของปัจเจกชน
เมื่อมีใครพูดพาดพิงพระพุทธศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง ควรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารการพระศาสนาที่จะออกมา “แก้ไขให้หมดจด”
ไม่ใช่ปล่อยให้ปัจเจกชนอย่างพงษ์ศักดิ์ทองย้อยเณรจ่อยมหาจาบ ออกมารำดาบเดียวดาย ในขณะที่ผู้บริหารการพระศาสนาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ถามว่าผู้บริหารการพระศาสนารู้หรือไม่ว่ามีปรัปวาทเกิดขึ้น?
ถามกันตรงๆ ว่า มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรู้หรือไม่ว่ามีปรัปวาทเกิดขึ้น?
ถ้ายังกว้างไป ก็ถามเจาะลงไปเลยว่า กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าหน้าที่ตำแหน่งต่างๆ ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรู้หรือไม่ว่ามีปรัปวาทเกิดขึ้น?
รู้ครับ
ขนาดผมสูงวัย ไกลปืนเที่ยง ยังมีช่องทางรู้เห็นได้ ก็แล้วท่านผู้มีหน้าที่โดยตรง มีช่องทางสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ทำไมจะรู้ไม่ได้
ปัญหาอยู่ตรงที่-ท่านรู้ แต่ท่านเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะต้องไปจัดการอะไร
และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ-ท่านอาจจะบอกว่า ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปรัปวาทที่ตรงไหนสักหน่อย
มีแต่มหาย้อยที่คิดเล็กคิดน้อยไปเอง
เหมือนคนมาร้องด่าหน้าบ้าน ปล่อยให้มันด่าไป มันเหนื่อยเข้ามันก็เลิกด่าไปเอง ไม่เห็นจะต้องไปต่อปากต่อคำอะไรกับมัน
พระศาสนาจงเจริญเถิด
………………..
ที่ว่ามานั้นเป็นการบ่น
ญาติมิตรที่ติดตามผมมาจะเห็นได้ว่า ผมบ่นเรื่องนี้มาตลอด-เรื่องที่ผู้บริหารการพระศาสนาไม่ทำงานที่ควรจะทำเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับพระศาสนา
ท่านผู้บริหารการพระศาสนาอาจจะคิด-ทำนองเดียวกับที่ผมว่า-คือปล่อยให้มันบ่นไป มันเหนื่อยเข้ามันก็เลิกบ่นไปเอง
งานที่มันว่านั่น เราไม่ทำซะอย่าง ใครจะทำไม
………………..
ทีนี้มาช่วยกันดูว่า ข้อความของท่านผู้หนึ่งข้างต้นโน้นเป็นปรับปวาทตรงไหน
ข้อแรก – พุทธศาสนาตอกย้ำเรื่องทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตายและกิเลสมากเสียจนละเลยทุกข์จากความอยุติธรรมทางสังคม
มันใช่หรือ?
อะไรคือทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตายและกิเลส?
พระพุทธศาสนาไปตอกย้ำทุกข์พวกนั้นตรงไหน?
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรม
พระพุทธศาสนาไม่เคยตอกย้ำ
แต่ชี้ให้ดู ให้เห็นความจริง และรู้เท่าทันความจริง แล้วเร่งทำหน้าที่ อย่ามัวเมาประมาท
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจและรู้ทันสัจธรรม คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย
แต่ไม่เคยสอนให้ทุกข์ไปกับมัน
ไม่เคยสอนให้จมอยู่กับมัน
ไม่เคยสอนให้ยอมจำนนอยู่กับมัน
แต่สอนว่า-ควรจะทำอย่างไรกับมัน จึงจะถูกต้อง
ทุกข์จากกิเลส นั่นยิ่งร้าย
พระพุทธศาสนาสอนให้รู้ทันกิเลส
ไม่เคยสอนให้ทุกข์ไปกับกิเลส
ไม่เคยสอนให้จมอยู่กับกิเลส
ไม่เคยสอนให้ยอมจำนนกิเลส
แต่สอนวิธีที่จะเอาชนะกิเลสและกำจัดกิเลส
อย่างนี้เรียกว่าตอกย้ำทุกข์หรือ?
คนมันอยากโกงกิน
พระพุทธศาสนาบอกว่า-อย่าโกง แต่จงขยันทำกิน
คนมันอยากฆ่ากัน
พระพุทธศาสนาบอกว่า-อย่าฆ่า แต่จงมีเมตตาต่อกัน
คนมันงมงายไร้สาระ
พระพุทธศาสนาบอกว่า-อย่ามัวหลับไหลอยู่เลย ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่เถิด
อย่างนี้เรียกว่าตอกย้ำทุกข์หรือ?
………………
ข้อสอง – แถมยังผสมโรงกับอำนาจกดขี่
นี่เป็นปรัปวาทชัดๆ และร้ายกาจที่สุด
คือผู้กล่าวความข้อนี้กำลังบอกชาวโลกว่า พระพุทธศาสนานี่แหละคือตัวการสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ปกครองประเทศกดขี่ข่มเหงประชาราษฎร
เขาพูดอย่างนี้ ยังไม่รู้สึกอีกหรือว่านี่คือ “ปรัปวาท”?
ยังนั่งนิ่งเฉย ท่องคาถาบทเดิมบทเดียวว่า
“ไม่ต้องทำอะไร ไม่ใช่หน้าที่
ไม่ต้องทำอะไร ไม่ใช่หน้าที่”
จะเอาแต่ท่องกันอยู่อย่างนี้หรือท่านผู้บริหารการพระศาสนา?
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
๑๑:๑๑
…………………….