บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กรรมของพระ-ศาสนา 

———————

ผมเขียนเรื่อง “จะรักษาชีวิตหรือจะรักษาพระธรรมวินัย” ไปเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ มีญาติมิตรท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า 

…………………..

สาธุ เรื่องพระต้องสละจีวร มาใส่ชุดคนไข้ เริ่มมีเมื่อไรไม่ทราบ ได้เห็นตอนท่านเจ้าคุณณรงค์ อยู่ รพ.เอกชนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

เมื่อประมาณปี 2527-29 หลวงพ่อเจ้าคณะเขตตลิ่งชัน ป่วยอยู่ศิริราช ก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยน และท่านก็มรณภาพ ในผ้าเหลือง

เลยไม่ทราบว่าปัจจุบันต้องเปลี่ยนทุก รพ.หรือไม่ และอยากทราบว่าทำไมต้องเปลี่ยนครับ

“จะตายก็ขอตายในผ้าเหลือง”

ขอกราบท่านที่มีปณิธานแน่วแน่อย่างนี้ครับ

(ตรีรัตน์ ปิ่นประยงค์) 

…………………..

ผมเขียนความเห็นตอบไปแล้ว แต่ขอนำมาขยายความเพื่อเป็นดำริของเราท่านต่อไป 

เรื่องเปลี่ยนชุดนี่ ผมเข้าใจว่าคงเป็นกฎของโรงพยาบาลที่มีเหตุผลมาจากวิชาการแพทย์ คือเพื่อป้องกันการติดเชื้อ 

โรงพยาบาลอาจอ้างได้ว่า จะไม่เปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ก็ได้ แต่ถ้าเกิดติดโรคหรือติดเชื้ออะไรขึ้นมา โรงพยาบาลจะไม่รับผิดชอบ-อะไรทำนองนี้ ซึ่งก็จะมีข้อถกเถียงอีกว่า เรื่องอย่างนี้โรงพยาบาลต้องรับผิดชอบ จะไม่รับผิดชอบไม่ได้ 

โรงพยาบาลก็จึงต้องมาลงเอากับผู้ป่วยว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โปรดปฏิบัติตามกฎของโรงพยาบาล 

ผมจึงว่า ถ้าเราช่วยกันคิดหากฎที่มันอ่อนตัวสักหน่อยเพื่อเกื้อกูลให้พระยังคงปฏิบัติตามสิกขาวินัยของพระอยู่ได้ ก็จะเป็นมหากุศล 

แต่คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยนึก 

ใกล้เพลใกล้เที่ยง หมอสมัยนี้อาจนัดพระหน้าตาเฉย 

อดเพลก็เรื่องของท่าน ถ้าจะให้ฉันรักษาต้องทำตามกติกาของฉัน

กรรมของพระ!

…………………..

ถ้าเกิดว่าในอนาคตอันไม่ไกล โรงพยาบาล ตลอดจนหน่วยราชการในเมืองไทยเกลื่อนกล่นไปด้วยคนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนั่นนี่โน่นเต็มไปหมด คนเหล่านั้นอาจออกกฎระเบียบต่างๆ บีบบังคับจนพระไม่ได้รับความสะดวก จนพระอยู่ไม่ได้ 

จะว่าอย่างไรกัน

ดังที่ได้ยินพูดกันแว่วๆ ว่า —

เดี๋ยวนี้ใครจะบวชเป็นพระ ต้องขออนุญาตไปถึงตำรวจก่อน ไม่มีลายเซ็นอนุญาตจากตำรวจ บวชไม่ได้ ผิดกฎหมาย

เดี๋ยวนี้เด็กจะบวชเป็นสามเณร ต้องจบมัธยมต้นก่อน เด็กคนไหนไม่จบมัธยมต้น บวชเณรไม่ได้ ผิดกฎหมาย 

ผมไม่รู้ว่า ที่พูดกันนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่ 

แปลกนะครับ กฎระเบียบแบบนี้ไม่มีใครเอาข้อมูลหลักฐานมาเผยแพร่ จริงหรือเท็จไม่มีใครบอกใคร ได้แต่พูดกันลอยๆ

รู้อีกที อ้าว! ประกาศในราชกิจจาฯ แล้ว 

หรือเป็นเจตนาของใครที่อยากให้เป็นแบบนี้ 

เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้าน 

เพราะเมื่อประกาศเป็นทางการแล้วก็หมดสิทธิ์โต้แย้ง 

อย่างกรณี-เด็กจะบวชเป็นสามเณร ต้องจบมัธยมต้นก่อน ผมขอแรงไปทางญาติมิตรหลายต่อหลายสายว่า เอาตัวระเบียบออกมาดูกันหน่อย 

เงียบ! 

ไม่มี ไม่ใช่ ไม่จริง ก็บอกกันออกมาให้ชัด 

มี ใช่ จริง ก็เอาหลักฐานมาบอกกันให้ชัด 

ผมได้ยินคนแสดงความเป็นห่วงพระ เป็นห่วงพระศาสนากันอยู่ทุกวัน แต่เรื่องที่เป็นหลักเป็นฐานเกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับพระศาสนา กลับไม่มีใครสนใจ 

เข้าทางที่ว่า – 

ยิ่งเงียบเท่าไรยิ่งดี 

ให้มันรู้อีกทีตอนประกาศในราชกิจจาฯ

กรรมของพระศาสนา!

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๓ กันยายน ๒๕๖๒

๑๖:๔๕

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *