วิบาก (บาลีวันละคำ 4,249)
วิบาก
จากอินเดียมาไทยไกลจนกลับบ้านไม่ถูก
“วิบาก” บาลีเป็น “วิปาก” อ่านว่า วิ-ปา-กะ รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + ปจฺ (ธาตุ = ทำให้สิ้นสุด; หุง, ต้ม; สุก, ไหม้) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ที่ ป-(จฺ) เป็น อา “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (ปจฺ > ปาจ), แปลง จ ที่สุดธาตุเป็น ก (ปจฺ > ปาจ > ปาก)
: วิ + ปจฺ = วิปจฺ + ณ = วิปจณ > วิปจ > วิปาจ > วิปาก แปลตามศัพท์ว่า (1) “เป็นที่สุดแห่งเหตุ” (2) “สิ่งที่สุกแล้วอย่างไม่เหลือ” (คือไม่มีส่วนที่ยังดิบเหลืออยู่)
“วิปาก” (ปุงลิงค์) หมายถึง ผล, การสำเร็จผล, ผลิตผล; ผลที่เกิดขึ้น, ผลที่เกิดจากเหตุหรือผลของกรรม, ผลกรรม, (fruit, fruition, product; result, effect, retribution)
ฝรั่งที่ทำพจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ขยายความหมายของ “วิปาก” ไปอีกว่าเปรียบเหมือน reward or punishment (รางวัลหรือการถูกลงโทษ) ที่ได้รับ แล้วแต่ว่าจะทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม
“วิปาก” ในบาลี เราเอามาใช้ในภาษาไทยเป็น “วิบาก”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วิบาก : (คำนาม) ผล, ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วอันทําไว้แต่อดีต, เช่น กุศลวิบาก กรรมวิบาก. (คำวิเศษณ์) ลำบาก เช่น ทางวิบาก วิ่งวิบาก. (ป., ส. วิปาก).”
ตัวอย่างที่พจนานุกรมฯ ยกมามี 2 คำ คือ “ทางวิบาก” และ “วิ่งวิบาก” คำว่า “ทางวิบาก” พจนานุกรมฯ ไม่ได้เก็บไว้เป็นลูกคำ แต่เก็บคำว่า “วิ่งวิบาก” บอกไว้ดังนี้ –
“วิ่งวิบาก : (คำนาม) การแข่งขันชนิดหนึ่ง มี ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งระยะทาง ๓,๐๐๐ เมตร ผู้แข่งขันต้องวิ่งกระโดดข้ามรั้ว ๒๘ รั้ว กระโดดข้ามบ่อน้ำหรือลุยน้ำในบ่อ ๗ บ่อ ใครถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ อีกประเภทหนึ่งระยะทาง ๒,๐๐๐ เมตร ใช้สำหรับการแข่งขันประเภทเยาวชน ผู้แข่งขันต้องวิ่งกระโดดข้ามรั้ว ๑๘ รั้ว กระโดดข้ามบ่อน้ำหรือลุยน้ำในบ่อ ๕ บ่อ ใครถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ.”
อภิปรายขยายความ :
คำว่า “วิ่งวิบาก” เกิดมาจากคำว่า “วิบาก” ตามความหมายที่ใช้ในภาษาไทยว่า “ลำบาก” นั่นเอง
โปรดทราบว่า ในภาษาบาลี “วิปาก > วิบาก” ไม่ได้หมายถึง ลำบาก
มีข้อที่ขอชวนให้พิจารณาดังนี้ –
(1) ในภาษาไทย มักเข้าใจกันว่า “วิบาก” คือลำบาก เช่น ทางวิบาก วิ่งวิบาก หรือเมื่อทำอะไรแล้วไม่ราบรื่น ต้องประสบกับความทุกข์ยาก เดือดร้อน ก็จะพูดว่าเป็น “วิบากกรรม” และหมายถึงเป็นผลของกรรมชั่ว
(2) “วิบาก” ความหมายเดิม ไม่ได้แปลว่า “ลำบาก” แต่หมายถึง “ผลที่เกิดขึ้น” และไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นผลร้าย แม้ผลดี ก็เรียกว่า “วิบาก” เหมือนกัน
(3) กรรมมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นผล คือสภาพทั้งปวงที่เรากำลังเผชิญหรือประสบอยู่ และส่วนที่เป็นเหตุ คือสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในบัดนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดส่วนที่เป็นผลในลำดับต่อไป (ผู้ที่ไม่เข้าใจ เมื่อมอง “กรรม” มักเห็นแต่ส่วนที่เป็นผล แต่ไม่เห็นส่วนที่เป็นเหตุ)
(4) กรรม เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นกับความเชื่อหรือความเข้าใจของใคร ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรหรือไม่เชื่ออย่างไร กรรมก็เป็นจริงอย่างที่กรรมเป็น และไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะมีใครเชื่อเช่นนั้น
(5) หน้าที่ของเรา คือ ทำความเข้าใจให้ตรงกับความจริง ไม่ใช่เกณฑ์ความจริงให้ตรงกับที่เราเข้าใจ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ใช้ภาษาให้ตรงตามสมมุติ
: แต่อย่าหลงสมมุติ
#บาลีวันละคำ (4,249)
30-1-67
…………………………….
…………………………….