กัมมารบุตร (บาลีวันละคำ 4,599)

กัมมารบุตร
คำที่ชวนให้ขุดขึ้นมาไขปัญหาสูกรมัททวะ
อ่านว่า กำ-มา-ระ-บุด
ประกอบด้วยคำว่า กัมมาร + บุตร
(๑) “กัมมาร”
เขียนแบบบาลีเป็น “กมฺมาร” อ่านว่า กำ-มา-ระ รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = ทำ) + มาร ปัจจัย, ลบ ร ที่สุดธาตุ (กรฺ > ก), ซ้อน มฺ
: กรฺ + มฺ + มาร = กรฺมฺมาร > กมฺมาร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ทำกิจเกี่ยวกับโลหะ”
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต) แปล “กมฺมาร” ว่า ช่างเหล็ก, ช่างเงิน, ช่างทอง
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กมฺมาร” ว่า
(1) a smith, a worker in metals generally (ช่างโลหะ, คนทำงานเกี่ยวกับโลหะโดยทั่วไป)
(2) a silversmith (ช่างเงิน)
(3) a goldsmith (ช่างทอง)
บาลี “กมฺมาร” ใช้ในภาษาไทยเป็น “กัมมาร” และ “กรรมาร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกคำอ่านว่า กำ-มาน บอกความหมายไว้ดังนี้ –
(1) กัมมาร : (คำแบบ) (คำนาม) กรรมาร, ช่างทอง, ช่างเหล็ก. (ป.; ส. กรฺมาร).
(2) กรรมาร : (คำแบบ) (คำนาม) ช่างทอง เช่น กรรมารบุตร. (ส. กรฺมาร; ป. กมฺมาร).
หมายเหตุ:
1 “คำแบบ” หมายถึง คำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่คำพูดทั่วไป
2 พจนานุกรมฯ ยกตัวอย่างคำว่า “กรรมารบุตร” สะกดเป็น “กรรมาร-” แต่บาลีวันละคำขอสะกดเป็น “กัมมาร-”
(๒) “บุตร”
บาลีเป็น “ปุตฺต” อ่านว่า ปุด-ตะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ปู (ธาตุ = สะอาด, ชำระ) + ต ปัจจัย, ซ้อน ตฺ, รัสสะ อู ที่ ปู เป็น อุ (ปู > ปุ)
: ปู + ตฺ + ต = ปูตฺต > ปุตฺต แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้เป็นเหตุให้บิดามารดาสะอาด” (คือไม่ถูกตำหนิว่าไม่มีผู้สืบสกุล) (2) “ผู้ชำระตระกูลของตนให้สะอาด” (คือทำให้ตระกูลมีผู้สืบต่อ)
(2) ปูรฺ (ธาตุ = เต็ม) + ต ปัจจัย, แปลง รฺ ที่สุดธาตุเป็น ตฺ,(ปูรฺ > ปูตฺ), รัสสะ อู ที่ ปู-(รฺ) เป็น อุ (ปูร > ปุร)
: ปูรฺ + ตฺ = ปูรต > ปูตฺต > ปุตฺต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังดวงใจของบิดามารดาให้เต็ม”
(3) ปุสฺ (ธาตุ = เลี้ยง) + ต ปัจจัย, ลบ สฺ ที่สุดธาตุ (ปุสฺ > ปุ), ซ้อน ตฺ
: ปุสฺ > ปุ + ตฺ + ต = ปุตฺต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้อันมารดาบิดาเลี้ยงดู”
“ปุตฺต” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) ลูกชาย (a son)
(2) เด็ก, ผู้สืบสกุล (child, descendant)
กมฺมาร + ปุตฺต = กมฺมารปุตฺต (กำ-มา-ระ-ปุด-ตะ) แปลตามศัพท์ว่า “ลูกชายของช่างเหล็ก”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กมฺมารปุตฺต” ว่า “son of a smith,” i. e. a smith by birth and trade (“บุตรของช่างเหล็ก”, คือช่างเหล็กโดยกำเนิดและโดยอาชีพ)
“กมฺมารปุตฺต” ในภาษาไทย พจนานุกรมฯ ใช้ในคำนิยามคำว่า “กรรมาร” เป็น “กรรมารบุตร” แต่ในที่นี้ขอใช้เป็น “กัมมารบุตร”
คำว่า “กัมมารบุตร” อาจแปลได้หลายอล่าง คือ บุตรช่างเหล็ก บุตรช่างเงิน บุตรช่างทอง แต่ที่นิยมแปลกันมากที่สุด คือ บุตรช่างทอง
ขยายความ :
“กัมมารบุตร” ที่เราค่อนข้างจะคุ้นกันดี คือ นายจุนทะ กัมมารบุตร
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “จุนทกัมมารบุตร” บอกไว้ดังนี้ –
…………..
จุนทกัมมารบุตร : นายจุนทะ บุตรช่างทอง ชาวเมืองปาวา ผู้ถวายสูกรมัททวะ เป็นภัตตาหารครั้งสุดท้าย แด่พระพุทธเจ้า ในเช้าวันปรินิพพาน, จุนทะ กัมมารบุตร ก็เขียน; ดู สูกรมัททวะ, …
…………..
ตามไปดูที่คำว่า “สูกรมัททวะ” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ดังนี้ –
…………..
สูกรมัททวะ : ชื่ออาหารซึ่งนายจุนทะ กัมมารบุตร แห่งเมืองปาวา ถวายแด่พระพุทธเจ้า ในวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นบิณฑบาตมื้อสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเสวยก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบิณฑบาตที่มีผลเสมอกับบิณฑบาตที่พระองค์เสวยแล้วได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ และบิณฑบาต ๒ ครั้งนี้มีผลมีอานิสงส์มากยิ่งกว่าบิณฑบาตครั้งอื่นใดทั้งสิ้น (ที.ม.๑๐/๑๒๖/๑๕๘; บิณฑบาตที่เสวยในวันตรัสรู้ คือข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวาย), หลังจากเสวยสูกรมัททวะแล้ว พระพุทธเจ้าก็ประชวรหนัก และเมื่อเสด็จถึงเมืองกุสินาราแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในราตรีนั้น
“สูกรมัททวะ” นี้ มักแปลกันว่าเนื้อสุกรอ่อน แต่อรรถกถาแปลต่างเป็นหลายนัย อรรถกถาแห่งหนึ่งให้ความหมายไว้ถึง ๔ อย่าง (อุ.อ.๔๒๗) ว่า ๑. มหาอัฏฐกถาซึ่งเป็นอรรถกถาโบราณบอกไว้ว่าเป็นเนื้อหมู ที่นุ่มรสสนิท ๒. อาจารย์บางพวกว่าเป็นหน่อไม้ ที่หมูชอบไปดุดย่ำ ๓. อาจารย์อีกพวกหนึ่งว่าเป็นเห็ด ซึ่งเกิดในบริเวณที่หมูดุดย่ำ และ ๔. ยังมีอาจารย์พวกอื่นอีกว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง …
…………..
ที่บอกว่า “เป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง” นั้น มีนัยพาดพิงไปถึงนายจุนทะ กัมมารบุตร ซึ่งกรณีนี้ไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึง ส่วนมากพอวิจารณ์ถึง “สูกรมัททวะ” ก็จะพูดกันอยู่ใน 3 อย่าง คือ เนื้อหมู เห็ด หน่อไม้ ไม่มีใครเอ่ยถึง “ยาอายุวัฒนะ”
ที่ว่า “สูกรมัททวะ” หมายถึง “ยาอายุวัฒนะ” นั้น คัมภีร์อรรถกถาใช้คำ “รสายนวิธิ” หรือ “รสายตน” ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ทางเคมีชนิดหนึ่ง
นายจุนทะ กัมมารบุตร อยู่ในตระกูลช่างทอง ดังที่สมญานาม “กัมมารบุตร” บ่งบอกชัดเจน ซึ่งเป็นการแน่นอนว่าจะต้องมีความรู้ในวิชาเคมีและสามารถที่จะปรุงยาโดยใช้วิชาเคมีเข้าช่วยได้ สอดคล้องกับที่อรรถกถาขยายความต่อไปด้วยว่า –
(1) ตํ ปน รสายนสตฺเถ อาคจฺฉติ. ตํ จุนฺเทน ภควโต ปรินิพฺพานํ น ภเวยฺยาติ รสายนํ ปฏิยตฺตนฺติ. (คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 172)
รสายนวิธีนั้นมาในคัมภีร์รสายนศาสตร์ สูกรมัททวะนั้นนายจุนทะตกแต่งตามรสายนวิธี ด้วยประสงค์ว่าการปรินิพพานจะยังไม่พึงมีแก่พระผู้มีพระภาค
(2) อปฺเปวนาม นํ ปริภุญฺชิตฺวา จิรตรํ ติฏฺเฐยฺยาติ สตฺถุ จิรชีวิตุกมฺยตาย อทาสีติ วทนฺติ. (คัมภีร์ปรมัตถทีปนี อุทานวัณณนา หน้า 427)
นายจุนทะดำริว่า “ไฉนหนอพระผู้มีพระภาคเสวยสูกรมัททวะนี้แล้วพึงดำรงพระชนม์อยู่ยืนนานยิ่งขึ้น” จึงได้ถวายเพื่อประสงค์จะให้พระศาสดาดำรงพระชนมายุได้ตลอดกาลนาน
…………..
ศึกษาคำว่า “กัมมารบุตร” ช่วยนำไปสู่ปัญหา “สูกรมัททวะ” ว่า คือยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง
สูกรมัททวะในความหมายนี้เรามองข้ามกันไปหมด ทั้ง ๆ ที่ชื่อ “กัมมารบุตร” เป็นเสมือน “ลายแทง” บอกใบ้อยู่ชัด ๆ
แต่ก็-อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเราท่านในยุคสมัยนี้พอใจที่จะถกเถียงกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องการคำวินิจฉัยที่ยุติเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพาะปัญหานี้-หรือปัญหาใด ๆ อีกก็ตาม-ถ้ามีคำตอบที่ยุติได้เสียแล้วก็ไม่สนุก เพราะไม่มีอะไรที่จะเถียงกัน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เถียงกันอย่างบัณฑิต ได้ความรู้
: เถียงกันอย่างศัตรู ได้ความร้าว
#บาลีวันละคำ (4,599)
14-1-68
…………………………….
…………………………….