วากยสัมพันธ์ (บาลีวันละคำ 2,345)
วากยสัมพันธ์
สูญไปอีกวิชาหนึ่งในภาษาไทย
อ่านว่า วาก-กะ-ยะ-สำ-พัน
ประกอบด้วยคำว่า วากย + สัมพันธ์
(๑) “วากย”
บาลีเป็น “วากฺย” (มีจุดใต้ กฺ) อ่านตามตาเห็นว่า วาก-กฺยะ หรือตามที่พจนานุกรมฯ บอกคำอ่านในภาษาไทยว่า วาก-กะ-ยะ อ่านตามเสียงบาลีว่า วาก-เกี๊ยะ รากศัพท์มาจาก วจฺ (ธาตุ = พูด, กล่าว) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณ (ณฺย > ย), ทีฆะ อะ ที่ ว-(จฺ) เป็น อา แล้วแปลง จฺ เป็น กฺ (วจฺ > วาจฺ > วากฺ)
: วจฺ + ณฺย = วจณฺย > วจฺย> วาจฺย > วากฺย (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ข้อความอันเขากล่าว” หมายถึง การพูด, คำพูด, พากย์ (saying, speech, sentence)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วากย-, วากยะ : (คำนาม) คําพูด, คํากล่าว, ถ้อยคํา, ประโยค. (ป., ส.).”
(๒) “สัมพันธ์”
บาลีเป็น “สมฺพนฺธ” อ่านว่า สำ-พัน-ทะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) พนฺธฺ (ธาตุ = ผูก, มัด, พัน) + อ ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ (สํ > สมฺ)
: สํ > สมฺ + พนฺธฺ = สมฺพนฺธฺ + อ = สมฺพนฺธฺ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การผูกรวมกันไว้”
“สมฺพนฺธฺ” ในบาลีใช้ในความดังนี้ –
(1) การผูกชนิดหนึ่ง (a sort of binding)
(2) เชือกผูก, โซ่ (a halter, tether)
(3) ห่วง, ตรวน (bond, fetter)
(4) ผู้มัดหรือผูกรวมกันไว้ (one who binds or ties together)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สัมพันธ-, สัมพันธ์, สัมพันธน์ : (คำกริยา) ผูกพัน, เกี่ยวข้อง, เช่น เขากับฉันสัมพันธ์กันฉันญาติ ข้อความข้างหลังไม่สัมพันธ์กับข้อความข้างหน้า.(คำที่ใช้ในไวยากรณ์) (คำนาม) การแยกความออกเป็นประโยค ๆ หรือส่วนต่าง ๆ ของประโยค แล้วบอกการเกี่ยวข้องของประโยคและคำต่าง ๆ ในประโยคนั้น ๆ. (ป., ส.).”
วากฺย + สมฺพนฺธ = วากฺยสมฺพนฺธ > วากยสัมพันธ์ แปลตามศัพท์ว่า “การเกี่ยวข้องแห่งคำพูด”
ขยายความ :
ตำราภาษาไทยสมัยเก่ากำหนดเนื้อหาที่จะต้องศึกษาไว้ 4 ส่วน เรียกชื่อคล้องจองกัน คือ อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ และ ฉันทลักษณ์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ดังนี้ –
(1) อักขรวิธี : (คำนาม) วิธีเขียนและอ่านหนังสือให้ถูกต้อง, ชื่อตำราไวยากรณ์ตอนที่ว่าด้วยตัวอักษร การอ่าน การเขียน และการใช้ตัวอักษร. (ป.).
(2) วจีวิภาค : (คำนาม) ชื่อตำราไวยากรณ์ตอนที่ว่าด้วยคำและหน้าที่ของคำ.
(3) วากยสัมพันธ์ : (คำนาม) ชื่อตําราไวยากรณ์ตอนที่แยกความออกเป็นประโยค ๆ และบอกความเกี่ยวข้องของคําในประโยค.
(4) ฉันทลักษณ์ : (คำนาม) ลักษณะแบบแผนคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง, ชื่อตำราไวยากรณ์ตอนที่ว่าด้วยลักษณะของคำประพันธ์.
หลักของวิชา “วากยสัมพันธ์” ก็คือ
(1) ศึกษาให้รู้ว่าคำที่เอาเรียงกันเข้าเป็นประโยคนั้น แต่ละคำทำหน้าที่อะไร คือมีคำนั้นอยู่ตรงนั้นเพื่อจะให้ทำหน้าที่อะไรในประโยค เช่นทำหน้าที่เป็นประธาน เป็นกริยา เป็นกรรมเป็นต้น
(2) ศึกษาให้รู้ว่าคำนั้นๆ นอกจากทำหน้าที่ของตัวเองแล้วยังต้องเกี่ยวข้อง คือ “สัมพันธ์” กับคำไหนอีกบ้าง และเกี่ยวข้องในฐานะอะไร
มีคำกล่าวว่า ประโยคภาษาไทยที่ดีนั้น “ตัดออกสักคำหนึ่ง ความก็ขาด เติมเข้าสักคำหนึ่ง ความก็เกิน” ซึ่งจะเขียนให้มีคุณลักษณะเช่นนี้ได้ผู้เขียนจะต้องรู้หลักวิชา “วากยสัมพันธ์” เป็นอย่างดี
ทุกวันนี้เด็กไทยไม่ได้ศึกษาภาษาไทยตามตำราภาษาไทยสมัยเก่าอีกแล้ว ผลก็คือเด็กรุ่นใหม่โดยมากเขียนภาษาไทยไม่เป็นภาษา เพราะไม่มีความรู้ว่าข้อความในประโยคที่เขียนนั้นจำเป็นจะต้องมีคำอะไร หรือไม่จำเป็นจะต้องมีคำอะไร
ข้อความที่เขียนออกมาแล้วถ้าถามว่า คำนี้ทำหน้าที่อะไร ทำไมต้องใช้คำนี้ ทำไมต้องมีคำนี้ ไม่มีได้หรือไม่ ใช้คำอื่นแทนจะดีขึ้นหรือไม่ เด็กไทยสมัยใหม่ตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้
เราจึงหาภาษาไทยที่ดีๆ ที่งามๆ ที่เขียนกันขึ้นใหม่ๆ ในสมัยนี้อ่านแทบจะไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราไม่ได้เรียนวิชา “วากยสัมพันธ์” กันนั่นเอง
แต่ในหลักสูตรภาษาบาลีของคณะสงฆ์ยังเรียนวิชา “วากยสัมพันธ์” กันอยู่
…………..
ดูก่อนภราดา!
มีหน้าที่อะไรก็ไม่รู้
ดีชั่วอยู่ที่ไหนก็ไม่เห็น
เป้าหมายอยู่แห่งใดไปไม่เป็น
กิน เที่ยว เล่นไปวันวันนั่นหรือเด็กไทย
#บาลีวันละคำ (2,345)
13-11-61