คนบ้าคนสุดท้าย

คนบ้าคนสุดท้าย
————————
ผมโชคดีที่มีอายุอยู่มาจนได้เห็นค่านิยมสองยุค
(๑) สมัยผมเป็นเด็ก ไปไหนมาไหนกับผู้ใหญ่ เวลาเจอพระสงฆ์ ผู้ใหญ่ท่านจะนั่งลง ยกมือไหว้
ถ้าสวมหมวกสวมงอบ หรือมีผ้าขาวม้าเคียนหัว ท่านก็จะถอดออกก่อน
รอให้พระสงฆ์ผ่านไปก่อนท่านจึงจะลุกขึ้นเดินต่อไป
ถ้าที่ทางไม่อำนวย กิริยาที่ท่านประพฤติก็คือ หลีกทางให้ ยืนอย่างสงบ ประนมมือเคารพ รอจนพระสงฆ์ผ่านไป
ภาพพวกนี้ฝังใจจนผมทำตามได้โดยอัตโนมัติ
ทุกวันนี้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ไม่สะดวกที่จะนั่งผมก็ยังถอดหมวกไหว้พระเป็นนิสัย
ขับรถผ่านหน้าวัดผมยกมือไหว้พระทุกครั้งจนเป็นตัวประหลาดของคนรุ่นใหม่
สมัยผมเป็นเด็ก โยมหลีกทางให้พระ
สมัยนี้เดินสวนกันบนทางเท้า พระต้องหลีกทางให้โยม
นี่เป็นตัวอย่างเรื่องหนึ่งของค่านิยมต่างยุค
(๒) คนรุ่นผมมักจะบ่นเหมือนๆ กันว่า ฟังเพลงของคนสมัยนี้แล้วไม่เข้าหู
ไม่รู้ว่ามันไพเราะตรงไหน
(ออกเสียงภาษาไทยวิปริตผิดเพี้ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
นักร้องขวัญใจรุ่นผมต้องสมยศ ทัศนพันธ์ ทูล ทองใจ ชาญ เย็นแข ขึ้นไปจนถึง ล้วน ควันธรรม
ผู้ใหญ่รุ่นผมท่านก็คงรำคาญเพลงพวกนี้เหมือนกันว่าไม่รู้ว่ามันไพเราะตรงไหน
เพลงรุ่นท่านต้อง-แขกมอญบางขุนพรหม เขมรปี่แก้วทางสักวา อะไรทำนองนี้
เชื่อแน่ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ถ้ามีอายุอยู่ไปจนแก่ก็จะต้องนึกรำคาญเพลงของหนุ่มสาวในยุคหน้าโน้นเช่นเดียวกัน
นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งของค่านิยมต่างยุค
(๓) สมัยที่ผมเป็นเด็กเลี้ยงวัวทำนาอยู่บ้านนอก มีสตรีสาวโสดนางหนึ่งกลับจากดำนา (“ดำนา” ด เด็ก นะครับ ไม่ใช่ “ทำนา”) ตอนเย็นใกล้ค่ำ ผ่านหนองน้ำ เห็นปลอดคนและใกล้มืดแล้ว จึงลงอาบน้ำโดยเปลื้องเสื้อผ้าทั้งหมดออกจากร่างกาย
ญาติที่กลับทีหลังตามมาทันกัน เห็นเข้าก็เอะอะขึ้น
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ในหมู่บ้าน
แถวบ้านผมสมัยโน้นผู้หญิงแก้ผ้าอาบน้ำเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิงมาก
สตรีนางนั้นออกจากบ้านไม่ได้เป็นเวลานาน เพราะไปทางไหนมีแต่คนมองเป็นตัวประหลาด
สมัยนี้แถวบ้านเดิมผมนั่นเองจะหาสตรีที่ไม่เปลือยกายอาบน้ำ –
“สามพลิกสามภพสิ้น สุดแล้วฤๅมี”
นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งของค่านิยมที่เปลี่ยนไป
(๔) สมัยผมเป็นเด็ก สตรีที่เสียตัวให้ชายก่อนแต่งงาน มีน้อยอย่างยิ่ง
และถ้ามีก็ถือกันว่าเป็นผู้มีความประพฤติไม่สู้ดี
แต่แทบทั้งหมดเมื่อเสียให้ชายใดก็มักแต่งกับชายนั้นแล้วก็อยู่กินกันเป็นปกติสุขสืบไป
แต่สมัยนี้กล่าวกันว่าเจ้าสาวที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ก่อนแต่งงานนั้น “สามพลิกสามภพสิ้น สุดแล้วฤๅมี” เช่นกัน
และส่วนมากเจ้าบ่าวมักจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกหรือแม้แต่คนที่สองด้วยซ้ำไป
แต่ก็ไม่ถือกันว่าเป็นเรื่องเสียหายแต่ประการใด
นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งของค่านิยม
จะว่าเสื่อม หรือเจริญ ก็แล้วแต่จะมอง
(๕) สมัยผมเป็นเด็ก เรื่องหนึ่งในครอบครัวที่สำคัญมากก็คือ พ่อแม่จะต้องเป็นผู้หาคู่ครองให้ลูก
พี่ชายบุญธรรมผม ๗ คน เพิ่งได้พูดกับเมียเป็นครั้งแรกในวันแต่งงาน
แล้วก็อยู่กันมาลูกเต็มบ้านหลายเต็มเมือง จนตายจากกันไปเอง
คู่ครองประเภทหอบผ้าหนีตามกันไปก็มีบ้าง แต่น้อย และถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างยิ่ง
สมัยนี้ พ่อแม่ที่เข้าไปจัดแจงหาคู่ครองให้ลูก จะถูกลูกกล่าวหาอย่างดุเดือดว่าก้าวก่ายในชีวิตส่วนตัว
เข้าขั้นละเมิดสิทธิมนุษยชนเลยทีเดียว
และผัวเมียหาเองสมัยนี้ ถ้าไม่หย่าร้างกันละก็ ถือว่าควรยกเป็น Case Study
นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งของค่านิยมที่เปลี่ยนไป
(๖) สมัยผมเป็นเด็ก พ่อแม่ที่ไม่เลี้ยงลูกหรือลูกที่ไม่เลี้ยงพ่อแม่ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก
และถ้าหาพบ ก็ถือว่าเป็นอัปรีย์จัญไร และเป็นอัปมงคลอย่างยิ่ง
ลูกที่เลี้ยงพ่อแม่แบบ “ซักผ้าขี้สีผ้าเยี่ยว” นั้นไม่มีใครรู้สึกว่าจะต้องให้รางวัลลูกกตัญญู เพราะมีทั่วไปทุกบ้านจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่สมัยนี้ พ่อแม่ที่เอาลูกไปทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ เป็นเรื่องปกติ
และลูกที่ทิ้งพ่อแม่ไว้ตามที่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ลูกที่ดูแลพ่อแม่แบบ “ซักผ้าขี้สีผ้าเยี่ยว” นั้นแทบว่าจะต้องบันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records หรือมิเช่นนั้นก็ยกเป็น Special Case Study กันเลยทีเดียว
นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งของค่านิยมที่เปลี่ยนไป
จะว่าเสื่อม หรือเจริญดี ?
ผมยกตัวอย่างเรื่องค่านิยมสองยุคมาแค่ ๖ เรื่อง
ท่านผู้อ่านแต่ละท่านอาจจะมีเรื่องเพิ่มเติมได้อีกมากหลาย
เรื่องพวกนี้จะเรียกว่า ค่านิยม ความเสื่อม ความเจริญ ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นไป ของชีวิต ของสังคมไทย หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันก็คือความเป็นจริงอย่างหนึ่ง
นอกจากตัวมันจะเป็นความจริงแล้ว มันยังล้อมรอบชีวิตเราอยู่จริงๆ ด้วย
เราห้ามไม่ให้มันเป็นอย่างที่เราไม่ชอบ ไม่ได้
เราสั่งให้มันเป็นอย่างที่เราชอบ ก็ไม่ได้
บางคนอาจสุขกับมัน
แต่หลายคนทุกข์กับมัน
ผู้รู้ที่ศึกษาเรื่องโลกเรื่องชีวิตจนเห็นสัจธรรมมักจะแนะนำว่า เราควรอยู่กับสิ่งเหล่านี้แบบเข้าใจความจริง หรือ “อยู่กับความจริง”
แต่ “อยู่กับความจริง” ไม่ใช่จบแค่พูด
ยังมีงานที่จะต้องทำต่อไปอีก
คนส่วนมากนิยมที่จะอยู่กับมันแบบ-เรียนรู้มันแล้ว “เป็น” กับมัน
สุขก็หัวเราะ
ทุกข์ก็ร้องไห้
ถ้าเอาเฉพาะภาพหัวเราะกับภาพร้องไห้ของคนคนหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ตลอดชีวิตมาตัดต่อติดกันเข้าแล้วฉายดูเหมือนฉายหนัง
เราก็จะเห็นคนบ้าคนหนึ่ง
ถ้าทำแบบเดียวกันกับทุกคน โลกนี้จะเต็มไปด้วยคนบ้า
พระพุทธศาสนาสอนให้อยู่กับความจริงแบบรู้เท่าทัน
จะเป็นค่านิยมในยุคไหนก็รู้ทันมัน
ตัวเราเองจะนิยมหรือไม่นิยมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องรู้ทันมัน
เมื่อรู้ทัน เราก็จะรู้เองว่าควรทำอย่างไรกับมัน
แต่ถ้ารู้ไม่ทัน เราก็จะเป็นคนบ้าอีกคนหนึ่ง
๖ มกราคม ๒๕๕๗